บอกออกเสียงกันอย่างไม่อายเลยว่า นี่เป็นอีกหนึ่งโปรเจกต์ดีๆ ที่ทางบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าสานต่อภารกิจด้านความรับผิดชอบต่อสังคม นำทีมผู้บริหาร ตัวแทนพนักงาน และคณะสื่อมวลชน ร่วมส่งมอบสนามฟุตบอลแก่ โรงเรียนเยาววิทย์ จังหวัดพังงา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะรอบด้านผ่านการเล่นกีฬา พร้อมจัดกิจกรรมทดสอบสมรรถนะอันยอดเยี่ยมของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (EQ Power) ครบครันในทุกพอร์ตโฟลิโอ ตั้งแต่รถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Mercedes-Benz C 300 e รุ่นประกอบในประเทศ รวมถึง Mercedes-Benz E 350 e และ Mercedes-Benz S 560 e รวมกว่า 18 คัน บนเส้นทางกระบี่-พังงา
สานต่อภารกิจด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ร่วมส่งมอบสนามฟุตบอลแก่ โรงเรียนเยาววิทย์ จังหวัดพังงา
มร.โรลันด์ โฟลเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยยกระดับ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการสนับสนุนด้านการศึกษาแก่เยาวชน เพราะ ‘การศึกษา’ ถือเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของการเติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมเพื่อสังคมด้านการศึกษาที่บริษัท ได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องกว่า 15 ปีแล้ว คือการให้การสนับสนุนในด้านต่างๆ แก่โรงเรียนเยาววิทย์ ในจังหวัดพังงานับตั้งแต่เกิดเหตุสึนามิถล่มเมื่อปี พ.ศ. 2547”
“บทบาทของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย มิใช่ในฐานะผู้สนับสนุนเงินบริจาค หากแต่เป็นในฐานะพันธมิตรระยะยาวของโรงเรียน ทั้งนี้ บริษัทได้ให้การสนับสนุนโรงเรียนในหลายด้าน ทั้งในส่วนของเงินและอุปกรณ์อื่นๆ เป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังจัดกิจกรรมพานักเรียนจากโรงเรียนเยาววิทย์เข้าเยี่ยมชมโรงงานประกอบรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ณ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์และมอบความรู้ให้แก่นักเรียน กิจกรรมดังกล่าวถือเป็นประสบการณ์อันมีค่ายิ่งสำหรับเด็กๆ ที่ได้ร่วมกิจกรรม ซึ่งสำหรับในปีนี้ บริษัทได้นำทีมผู้บริหาร ตัวแทนพนักงาน และคณะสื่อมวลชนมาร่วมลงพื้นที่มอบสนามฟุตบอลให้กับน้องๆ นักเรียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการทั้งทางด้านสุขภาพร่างกาย จิตใจ พร้อมทั้งช่วยฝึกทักษะการทำงานร่วมกันเป็นทีม รวมถึงการมอบทุนการศึกษาเป็นจำนวน 500,000 บาท” มร.โรลันด์ กล่าวเพิ่มเติม
ต่อยอดแนวคิดของเดมเลอร์ Diversity ความหลากหลายของบุคคล
“นอกจากการส่งมอบสนามฟุตบอลและเงินสนับสนุนแล้ว ทางบริษัทฯ ยังได้สานต่อแนวคิดของเดมเลอร์ ที่เชื่อมั่นใน ‘Diversity - ความหลากหลาย’ ของบุคคล พร้อมให้ความเคารพและเชื่อมั่นในตัวตนของเขามากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก ด้วยการนำทีมพนักงานกลุ่ม ‘Diversity’ ในประเทศไทย ซึ่งรวบรวมกลุ่มคนที่มีความหลากหลายในทุกด้าน ทั้งทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา เพศ อายุ และวัฒนธรรม เดินทางไปยังโรงเรียนเยาววิทย์เป็นครั้งแรก โดยมีวัตถุประสงค์ในการส่งต่อความรู้และสื่อสารให้เด็กเข้าใจความหมายของ ‘Diversity’ ผ่านเกมกิจกรรมอันสนุกสนาน ซึ่งจะทำให้เด็กเห็นคุณค่าของตนเองและเข้าใจถึงตัวตนที่แตกต่างของคนอื่นได้ดียิ่งขึ้น” มร.โรลันด์ กล่าวปิดท้าย
ทดสอบสมรรถนะของรถยนต์ภายใต้แบรนด์ EQ ในกลุ่มปลั๊กอินไฮบริด (EQ Power) เจเนอเรชั่นที่ 3
มร.ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในโอกาสนี้ ทางบริษัทฯ ยังได้เชิญคณะสื่อมวลชนมาร่วมทดสอบสมรรถนะของรถยนต์ภายใต้แบรนด์ EQ ในกลุ่มปลั๊กอินไฮบริด (EQ Power) เจเนอเรชั่นที่ 3 รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Mercedes-Benz C 300 e ยนตกรรมซาลูนสุดหรูอัจฉริยะรุ่นประกอบในประเทศ ที่มาพร้อมกับขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดและเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของรถยนต์ตระกูล C-Class อย่างครบครัน ทั้งในรุ่น C 300 e AMG Dynamic และ C 300 e Avantgarde พร้อมขนทัพยนตกรรมกลุ่ม EQ Power รุ่นอื่น ได้แก่ E 350 e Avantgarde, E 350 e Exclusive, E 350 e AMG Dynamic และ S 560 e AMG Premium รวม 18 คัน มาให้สัมผัสกันอย่างเต็มที่ในระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร โดยกิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นแบรนด์ผู้นำอันดับหนึ่งด้านยนตกรรมไฟฟ้าที่มีการนำเสนอรุ่นรถยนต์ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างครบครันมากที่สุดได้เป็นอย่างดี”
“ในปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย มีการนำเสนอรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ภายใต้ชื่อ EQ Power ในรถยนต์กลุ่มหลักอย่าง Contemporary Luxury ซีดานสุดหรูยอดนิยม โดยแต่ละรุ่นนั้นมีความโดดเด่นเฉพาะตัว ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี
โดย Mercedes-Benz C 300 e รุ่นประกอบในประเทศ คือ รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (EQ Power) เจเนอเรชั่นที่ 3 โดดเด่นในเรื่องสมรรถนะจากเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดผสานกับพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ควบคู่กับประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นของแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนชนิดใหม่ที่สามารถประจุไฟฟ้าได้มากกว่าเดิม ส่งผลให้ระยะทางสูงสุดสำหรับการขับขี่โดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวเพิ่มขึ้นจากเจเนอเรชั่นก่อนหน้าถึง 30% และช่วยให้อัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในโหมดไฮบริดเพิ่มขึ้น
Mercedes-Benz E 350 e นับเป็นรถยนต์ในกลุ่ม Contemporary Luxury ที่เป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ ที่มีทุกองค์ประกอบสอดรับกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์แบบตามหลัก Sensual Purity รวมถึงเทคโนโลยียนตกรรมใหม่ล่าสุด ยกระดับแนวคิดการพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติไปอีกขั้น โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ สมรรถนะอันยอดเยี่ยม เทคโนโลยีอันล้ำสมัย และระบบความปลอดภัยอันเป็นเลิศ ที่พร้อมจะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกรูปแบบการขับขี่ และ Mercedes-Benz S 560 e ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งผู้นำ ที่มาพร้อมกับมิติใหม่แห่งสุนทรียะในการขับขี่ ทั้งในด้านนวัตกรรม ความสะดวกสบาย ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistance Package เทคโนโลยี ความปลอดภัยอันล้ำสมัย และความประหยัดน้ำมัน” มร.ฟรังค์ กล่าวปิดท้าย
Mercedes-Benz C 300 e รุ่นประกอบในประเทศ
ด้วยสมรรถนะจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 1,991 CC ที่ให้ พละกำลังสูงถึง 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที และมีแรงบิด 350 นิวตัน-เมตร ที่ความเร็วรอบ 1,200 – 1,400 ต่อนาที ซึ่งเมื่อผสานพลังกับมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง 122 แรงม้า จะทำให้ได้ System Output สูงสุดถึง 320 แรงม้าที่ 4,500 – 5,500 รอบ/นาที และมีแรงบิดถึง 700 นิวตัน-เมตร นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นนี้ยังมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แบบผสมที่ต่ำกว่า 45 กรัม ต่อกิโลเมตรเท่านั้น
ดีไซน์ภายนอก โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ดูปราดเปรียว เร้าใจ ผสานด้วยคุณสมบัติอัจฉริยะของอุปกรณ์ต่างๆ โดยรุ่น C 300 e Avantgarde จะใช้กระจังหน้าสีเงินเสริมโครเมี่ยม พร้อมตราสัญลักษณ์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ และล้ออัลลอยแบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 18 นิ้ว ส่วนในรุ่น C 300 e AMG Dynamic จะติดตั้งกระจังหน้าแบบ Diamond Grille สีเงินพร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 18 นิ้ว โดยมีกันชนหน้า-หลังและสเกิร์ตข้างเป็นดีไซน์สปอร์ตแบบ AMG Bodystyling
ดีไซน์ภายใน และห้องโดยสาร ถูกออกแบบให้มีความหรูหราสไตล์สปอร์ต และมีโครงสร้างที่ดูต่อเนื่องเป็นชิ้นเดียว โดยรุ่น C 300 e Avantgarde จะมาพร้อมกับพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch Control ในขณะที่ C 300 e AMG Dynamic พวงมาลัยที่มาพร้อมกับระบบมัลติฟังก์ชั่น ตกแต่งแบบสปอร์ตท้ายตัด พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch Control โดยรุ่น C 300 e Avantgarde ใช้เบาะหุ้มด้วยหนัง ARTICO และ C 300 e AMG Dynamic ใช้เบาะหุ้มหนังแบบสปอร์ต และมาพร้อมกับ Memory Seat Package โดยทั้ง 2 รุ่น มาพร้อมกับระบบกุญแจแบบ KEYLESS-START ในขณะที่รุ่น C 300 e AMG Dynamic จะมีระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO เสริมเข้ามาด้วย ส่วนในเรื่องระบบเทคโนโลยี และระบบความปลอดภัย ที่มาพร้อมกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่รุ่นล่าสุด สำหรับตระกูล C-Class ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับระบบที่ใช้ในรถยนต์ S-Class
Mercedes-Benz C 300 e รุ่นประกอบในประเทศ ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนรุ่นใหม่ที่มี ขนาดความจุ 13.5 kWh มากกว่าเดิมถึง 111% ผสานกับประสิทธิภาพของเซลล์แบตเตอรี่ ชนิดใหม่ซึ่งมีส่วนผสมของลิเธียม-นิกเกิล-แมงกานีส-โคบอลต์ (Li NMC) ส่งผลให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากความจุ 10% จนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ภายในระยะเวลาเพียง 1 ชั่วโมง 50 นาที หากชาร์จด้วยเครื่องประจุไฟฟ้าวอลล์บอกซ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และใช้กำลังไฟฟ้าสูงสุด นอกจากนี้ รถยนต์รุ่นนี้ยังมาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะแบบใหม่ (9G-TRONIC) ที่ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้มากยิ่งขึ้น ทำให้การขับเคลื่อนมีความนุ่มนวลและลดเสียงรบกวนได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้สามารถลดระดับเกียร์ลงได้หลายระดับในกรณีที่ต้องการเร่งแซงอย่างรวดเร็ว
รุ่น |
เครื่องยนต์ |
ปริมาตรกระบอกสูบ (ซีซี) |
แรงม้าสูงสุด (แรงม้า/ รอบต่อนาที) |
แรงบิดสูงสุด (นิวตัน-เมตร) |
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. (วินาที) |
ความเร็วสูงสุดโดยประมาณ (กม./ชม.) |
C 300 e Avantgarde |
เบนซิน 4 สูบ แถวเรียง |
1,991 |
320 / 4,500-5,500 |
700 |
5.4 |
250 |
C 300 e AMG Dynamic |
เบนซิน 4 สูบ แถวเรียง |
1,991 |
320 / 4,500-5,500 |
700 |
5.4 |
250 |
• C 300 e Avantgarde รุ่นประกอบในประเทศ ราคา 2,699,000 บาท
• C 300 e AMG Dynamic รุ่นประกอบในประเทศ ราคา 3,215,000 บาท
Mercedes-Benz E 350 e สง่างาม มีระดับตามแบบฉบับ อี-คลาส
สำหรับ Mercedes-Benz E 350 e มีให้เลือก 3 ดีไซน์ด้วยกัน คือ Avantgarde, Exclusive และ AMG Dynamic ที่โดดเด่นในเรื่องสมรรถนะและอัตราการใช้พลังงานที่เยี่ยมยอดพร้อมกับความประหยัดพลังงานด้วยอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยถึง 40 - 47.62 กิโลเมตร/ลิตร พร้อมด้วยการปล่อย CO2 เพียง 49-57 กรัม/กิโลเมตร รวมถึงขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 33 กิโลเมตร
ซึ่งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์เลือกใช้จะทำงานร่วมกับ มอเตอร์ไฟฟ้า และให้กำลังรวมกัน 210 กิโลวัตต์ (286 แรงม้า) และมีแรงบิดสูงถึง 550 นิวตัน-เมตร การผสมผสานเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้านี้ช่วยให้รถยนต์รุ่น Mercedes-Benz E 350 e นับเป็นรถยนต์ที่มีสมรรถนะการขับขี่เทียบเท่ารถสปอร์ตแต่มี อัตราการใช้พลังงานต่ำกว่ารถยนต์คอมแพ็ค
ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 1,991 CC กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 350 นิวตัน-เมตร ที่ความเร็วรอบ 1,200-4,000 รอบ/นาที และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 88 แรงม้า แรงบิดสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 440 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC PLUS) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยและฟีเจอร์ใหม่ของ ‘Mercedes me connect’
ราคาใหม่ E 350 e Avantgarde รุ่นประกอบในประเทศ
E 350 e Avantgarde 3,540,000 บาท
E 350 e Exclusive 3,790,000 บาท
E 350 e AMG Dynamic 4,190,000 บาท
The S 560 e AMG Premium ที่สุดแห่งความหรา ในราคา 6,999,000 บาท
หรูหราเต็มขั้นทันสมัยด้วยกระจังหน้าแบบ 3 ก้าน มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED เทคโนโลยีขั้นสูงที่ช่วยให้ทัศนวิสัยการขับขี่ยามค่ำคืนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด พร้อมฟังก์ชัน ULTRA RANGE Highbeam ที่สามารถปรับความสว่างและความยาวของลำแสงไฟหน้าให้ส่องได้ไกลกว่า 650 เมตร
ดีไซน์ภายในและห้องโดยสาร มอบที่สุดแห่งความสะดวกสบาย ด้วยระบบ ENERGIZING Comfort Control เทคโนโลยีที่ช่วยให้คุณผ่อนคลายร่างกายและอารมณ์ในระหว่างการเดินทางเพียงแค่การ ‘กดปุ่ม’ เพื่อควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เช่น ระบบปรับอากาศ ระบบฉีดน้ำหอม ระบบฟอกอากาศ ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร (Premium Ambient Light) เสียงดนตรี ฟังก์ชั่นระบายอากาศและอุ่นที่นั่ง พร้อมระบบนวดสำหรับเบาะคู่หลัง รวมถึง เทคโนโลยีและระบบความปลอดภัย
Mercedes-Benz S-Class ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนชนิดใหม่ที่ประจุไฟฟ้าได้มากกว่าเดิม ส่งผลให้ระยะทางสูงสุดสำหรับการขับขี่โดยใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเพิ่มขึ้นจากเจเนอเรชั่นก่อนหน้าได้สูงสุดถึง 60% เมอร์เซเดส-เบนซ์ใช้เซลล์แบตเตอรี่รุ่นใหม่ซึ่งเป็นส่วนผสมของลิเธียม-นิกเกิล-แมงกานีส-โคบอลต์ (Li NMC) โดยขนาดของแบตเตอรี่นั้นมีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อนหน้าและประจุไฟฟ้าได้มากกว่าเดิมประมาณร้อยละ 50 หากใช้เครื่องประจุไฟฟ้าวอลล์บอกซ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์และใช้กำลังไฟฟ้าสูงสุด ผู้เป็นเจ้าของจะประจุไฟฟ้าจากความจุร้อยละ 10 จนเต็มได้ในเวลาประมาณ 90 นาที (ในสภาวะปกติ) และประมาณ 5 ชั่วโมงหากประจุไฟฟ้าโดยใช้กำลังไฟฟ้าจากเต้ารับทั่วไปตามบ้านมาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะแบบใหม่ (9G-TRONIC) ที่ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงลงกว่าเดิมถึง 6.5% อีกทั้งยังช่วยให้การขับเคลื่อนมีความนุ่มนวลมากขึ้น ลดเสียงรบกวนได้ดียิ่งขึ้น
S 560 e นั้น สามารถรักษาระดับของระบบช่วงล่างให้มีความสมดุลได้ตลอดการเดินทางแม้ว่าจะมีผู้โดยสารหรือสัมภาระจำนวนมาก เนื่องจากรถยนต์รุ่นนี้มีระบบปรับระดับช่วงล่างที่ทำงานโดยใช้กลไกการอัดหรือระบายอากาศ ทั้งนี้ ระบบสามารถยกความสูงของตัวรถเพิ่มได้ 30 มิลลิเมตร เพื่อให้ตัวรถสูงพ้นจากพื้นถนนมากเพียงพอ และเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ระบบจะปรับลดความสูงของตัวรถลง 20 มิลลิเมตรโดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยให้รถลู่ลมยิ่งขึ้นและเสริมเสถียรภาพในการขับขี่
รุ่น |
เครื่องยนต์ |
ปริมาตรกระบอกสูบ (ซีซี) |
แรงม้าสูงสุด (แรงม้า/รอบต่อนาที) |
แรงบิดสูงสุด (นิวตัน-เมตรที่ความเร็วรอบต่อนาที) |
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. |
ความเร็วสูงสุดโดยประมาณ (กม./ชม.) |
S 560 e |
เบนซิน V6 พร้อมเทอร์โบคู่และอินเตอร์คูลเลอร์ |
2,996 |
367/ |
500/ |
5.0 |
250 |
AFTER DRIVE BY KAN YENSABAI
หลายคนอาจ มีคำถามตามมาว่า จะทดสอบรถให้เหมาะ ให้ดี ต้องมีรูปแบบยังไง แต่ผมเชื่อว่าทั้งหมดของคาราวาน คาราวานเมอร์เซเดส-เบนซ์ EQ Power ในครั้งนี้จะเป็นคำตอบครับว่า การทดสอบรถยนต์แบบสร้างสรรค์ ที่ไม่ใช่แค่การ ขับรถยาวๆ ไกลๆ มาเพื่อพิสูจน์สมรรถนะ หรือความหรู ความแรง ของรถเท่านั้น แต่มันเหมือนกับการได้สร้างความสามัคคี และได้ลงมือ รวมกันสร้างช่วงเวลาดี สร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับเด็กๆ ได้ด้วยเช่นกัน…
แน่นอนครับว่า การเปิดตัวซับแบรนด์อย่าง EQ Electric Intelligence นี้ โจทย์ใหญ่คือในเรื่องเทคโนโลยีรักษ์โลก ซึ่งทำให้การสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยของรถในตระกูลนี้ นับเป็นจุดเด่น จากขุมพลังเบนซินที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า รวมถึงการอัพเกรดไซซ์แบตเตอรี่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น สามารถชาร์จไฟจากภายนอกได้ ที่เรียกกันว่า ปลั๊กอินไฮบริด
ในทริปนี้ถือว่าผมเองได้ล่องใต้เข้าโหมดทดสอบกันเต็มๆ ครับ กับเวลาถึง 3 วัน 2 คืน จากต้นทางที่จังหวัดกระบี่ ไปจุดหมายปลายทาง คือการไปทำความดีที่โรงเรียนเยาววิทย์ จังหวัดพังงา เรียกว่าเต็มอิ่มกับการวิ่งทดสอบมากกว่าการได้ลองฟีเจอร์ของรถ ทั้งใน Class S 500 e, C 350 e และ E 350 e ซึ่งในโฉม Mercedes-Benz E 350 e เบนซิน 4 สูบ 211 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ตัวขายดีและพระเอก ของรถในกลุ่มนี้ก็ยังเป็นรถที่นั่งสบาย ขับสนุก และให้อัตราเร่งที่ดี
ในเรื่องรูปลักษณ์และมิติของตัวรถนั้น โดยรวมพูดตรงๆ ทุกวันนี้ถ้าคุณไม่เซียน หรือเป็นแฟนพันธุ์แท้จริงๆ แทบแยกไม่ออกครับระหว่างโมเดล C-Class, E-Class และ S-Class ถ้าไม่ได้เดินไปดูรหัสรุ่นที่ด้านท้ายรถ เพราะด้วยขนาดมิติของรถที่ไม่ได้แตกต่างกันมากในแต่ละเซ็กเมนต์โมเดล
แต่ถ้าจะให้พูดถึงในเรื่องความคลาสสิก หรือเสน่ห์ของบอดี้รถ Mercedes-Benz แม้จะเป็นรถเบนซ์ ในยุคใหม่ ก็ยังให้คะแนนเต็มในความหรูหราและงานเนี้ยบในทุกจุด รวมไปถึงการตกแต่งภายในที่มี Ambient Light สร้างอารมณ์สุนทรีในการขับขี่ เบาะนั่งที่ให้ผิวสัมผัสที่ดีบ่งบอกถึงความประณีต ออพชั่นการขับขี่ ในแต่ละรุ่นย่อย ก็ดูล้ำทันสมัยกว่ารถในพิกัดเดียวกันกับคู่แข่ง
พวงมาลัยที่ให้การเลี้ยวที่เป็นธรรมชาติและคม โดยเฉพาะบนเส้นทางล่องธรรมชาติ ป่าเขาในภาคใต้อย่างเส้นทางเขานางหงส์ที่พังงาที่โค้งโหดและชัน ไม่ใช่เล่นๆ บอกเลยครับว่าถ้ารถไม่เฟิร์มจริงๆ วิ่งเส้นนี้ มีเหนื่อยแต่ตลอดการเดินทางใน C 300 e AMG Dynamic ในโฉมใหม่ที่ประกอบในบ้านเรา บอกเลยครับ ขับได้เพลินๆ แต่มั่นใจ ทั้งในเรื่องกำลังของรถ รวมถึงช่วงล่าง ที่แม้จะเป็นเบนซ์รุ่นเล็ก แต่ก็ต้องขอยกนิ้วโป้งให้2 นิ้ว ในเรื่องการให้ความนุ่มนวล และมั่นใจอย่างมากในการขับขี่ครับ