เม็ดฝนปรอยๆ ที่เกาะกระจกหน้ารถและกลิ่นของต้นไม้ใบหญ้า เป็นเหมือนการทักทายจากธรรมชาติของป่า พรรณไม้และขุนเขา เมื่อขบวนคาราวาน มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต เดินทางมาถึงอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี
ในเวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ความสะดวกสบายแบบรถซีดานและอรรถประโยชน์ด้านการใช้งานแบบรถอเนกประสงค์ พร้อมด้วยสมรรถนะการขับขี่แบบออฟโรด ความแกร่งทนทาน กับการออกแบบใหม่ภายใต้แนวคิด ‘ความสำเร็จที่เป็นคุณปฏิเสธไม่ได้ครับว่า มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต คือหนึ่งในรุ่นรถยนต์ที่มีความสำคัญเหลือเกินในเชิงกลยุทธ์ระดับโลกของ กลุ่มบริษัทฯมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เพราะด้วยยอดจำหน่ายกว่า 77,000 คันทั่วโลก ในปี พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา และกับตัวเลขยอดจองกว่า 2,600คัน ของมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ในโมเดลนี้ในตลาดประเทศไทย
ที่สำคัญยัง ใช้โรงงานแหลมฉบังของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในบ้านเราเป็นศูนย์ผลิตและจำหน่ายของ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่นี้ เพื่อจำหน่ายในอีกกว่า 90 ประเทศ รวมถึง ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และอื่นๆ ด้วย
ปรับดีไซน์สปอร์ตรอบคันใหม่ ในแบบไดนามิกชิลด์
ในตำแหน่งผู้ขับขี่วิสัยทัศน์การมองผ่านกระจกดีขึ้น และเน้นความกว้างขวางโอ่อ่าของด้านหน้ารถด้วยตำแหน่งไฟหน้าที่ทอดตัวต่อเนื่องจากกระจังหน้า พร้อมชุดไฟ Combination Lamps ติดตั้งที่มุมของกันชน
ส่วนตำแหน่งของกระโปรงหน้าที่สูงขึ้นกว่าเดิมนั้น ก็ช่วยเพิ่มมิติความลึกให้กับด้านหน้ารถ อีกทั้งการตกแต่งด้วยชิ้นส่วนโครเมี่ยมที่มีดีไซน์แข็งแกร่งทรงพลังยังช่วยถ่ายทอดความประณีตหรูหราให้แก่รูปลักษณ์ภายนอก และดูรับกันดีกับล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 18 นิ้ว ชุดสเกิร์ตข้าง พร้อมบันไดดีไซน์ใหม่, ไฟท้ายดีไซน์ใหม่ แบบ Full LED ย้ายไฟทับทิมลงด้านล่างและกันชนท้ายดีไซน์ใหม่
คอนโซลกลางดีไซน์ใหม่ กับรูปลักษณ์ภายในที่พรีเมี่ยมยิ่งขึ้น..
ชุดมาตรวัดในดีไซน์ใหม่ช่วยทำให้บรรยากาศการขับขี่ดูมีสีสันขึ้น และทันสมัยในแบบ Full DIGITAL Meter สามารถปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ, หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID แบบสี LCD ขนาด 8 นิ้ว ส่วนช่องเชื่อมต่อ HDMI / USB / รีโมท ก็มีการปรับเพิ่มช่องชาร์จไฟ USB 2.1 A บริเวณหลังคอนโซลกลาง 2 ตำแหน่ง อีกทั้งเพิ่มช่องเก็บของใต้คอนโซล ซึ่งสะดวกต่อการใช้งานทั้งด้านผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า
ในส่วนของอุปกรณ์เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกใหม่ที่เติมเต็มให้มาในเวอร์ชั่นนี้ มีทั้งจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว ที่ง่ายต่อการอ่าน พร้อมเชื่อมต่อและแสดงข้อมูลจากหน้าจอระบบสัมผัสหน้า และระบบ Auto Brake Hold, เปลี่ยนหน้าจอเครื่องเสียงระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว, เปลี่ยนหน้าจอสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ขนาด 12.1 นิ้ว
ระบบเปิดและปิดประตูท้ายด้วยไฟฟ้า Power Tailgate เพิ่มระบบความปลอดภัยและระบบแฮนด์ฟรีและระบบ Auto Brake Hold โดยการใช้งานของระบบรีโมทคอนโทรลนั้น สามารถสั่งการทำงานต่างๆ ซึ่งจะส่งการแจ้งเตือนไปยังสมาร์ทโฟนของผู้ขับขี่ในกรณีที่เปิดประตูท้าย หรือไฟหน้าทิ้งไว้ อีกทั้งยังสามารถสั่งการเปิดและปิดประตูท้ายไฟฟ้าผ่านสมาร์ทโฟน
ซึ่งระบบจะส่งคำสั่งการเปิดและปิดประตูท้ายอัตโนมัติเมื่อเจ้าของรถอยู่ในระยะใกล้ตัวรถ และสามารถส่งคำสั่งได้จากทุกที่ในระยะของการเชื่อมต่อรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชัน โดยทำงานควบคู่กับระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS หรือเมื่ออยู่ในระยะสัญญาณบลูทูธ และระบบช่วยเหลือพร้อมแจ้งสาเหตุผ่าน Smart Phone และระบบแจ้งเตือนสถานะของตัวรถ เช่น ระยะการเดินทาง, ประวัติการใช้รถได้อีกด้วย
เครื่องยนต์บล็อกเดิม MIVEC เทอร์โบดีเซล 181 แรงม้า มาคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด
บนเส้นทางการขับทดสอบที่เริ่มจากใจกลางกรุงเทพฯ ย่านสาธร หลังจากการฟังบรรยายข้อมูลผลิตภัณฑ์ก็ได้มีโอกาสทดลองในช่วงทางออนโรด บนถนสายหลักจากใจกลางกรุงเทพฯ ย่านสาธร เข้าสู่การจราจรติดขัดและหนาแน่นยาวๆ บนถนนพระราม 2 จนมาเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเพชรเกษม ที่แยกวังมะนาว และแยกเข้าสู่เขตอำเภอหนองหญ้าปล้อง ในด้านอัตราเร่งยังทำได้ดี ผ่านขุมพลังที่ยังเป็นเครื่องยนต์คงเดิม MIVEC ขนาด 2.4 ลิตร 2,442 CC เทอร์โบแปรผัน VG-Turbo – Intercooler พร้อมระบบแปรผันวาล์ว MIVEC ครับ
กำลังสูงสุดของตัวรถ ยังอยู่ที่ 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ส่วนการขับเคลื่อนยังมีทางเลือกทั้งในแบบ 2 ล้อ (2WD) หรือ ขับเคลื่อน 4 ล้อ Full-time Super Select 4WD II ในโหมดออฟโรดการขับเดินทางผ่านอุโมงค์ต้นไม้ ลัดเลาะไปตามเส้นทางที่อุดมสมบรูณ์ไปด้วยธรรมชาติตลอด 2 ข้างทาง ที่เจ้าหน้าที่อุทยานแอบบอกว่า ถ้าหากโชคดีอาจได้เห็นสัตว์ป่าตัวเป็นๆ เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น
ผมลองปรับเลือกโหมดการขับเป็นโหมด 4HLc ที่เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตราทดความเร็วสูงก่อนจะคุมรถปาเจโร คันนี้สัมผัสความสดชื่นจากธรรมชาติที่ถูกซ่อนไว้ท่ามกลางเทือกเขาตะนาวศรีกับอากาศที่บริสุทธิ์ เห็นยอดต้นไม้สีเขียวที่บอกเลยไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะมีโอกาสเข้ามาในขับรถอยู่ในพื้นป่าจริงๆ แบบนี้ ซึ่งการขับในโหมดการขับเคลื่อนสำหรับเส้นทางออฟโรด ปาเจโรยังมีจุดเด่นในเรื่องการถ่ายทอดกำลังที่เหมาะสม และสามารถพาตัวรถคันนี้ขับขี่เคลื่อนไปได้ดีในทุกสภาพพื้นผิวถนน และสามารถควบคุมการขับขี่ได้อย่างมั่นใจ และสามารถปรับรูปแบบการขับได้ 4 แบบ ทั้งGravel, Mud/Snow, Sand และ Rock
ส่วนในเรื่องเทคโนโลยีความปลอดภัย ปาเจโร ในโฉมไมเนอร์เชนจ์นี้ก็จัดเต็มและครบครันยิ่งขึ้นครับ ทั้งระบบส่งสัญญาเตือนเมื่อเปลี่ยนเลน (LCA) และระบบสัญญาณเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (RCTA)
ปิดท้ายให้ข้อมูลในเรื่องของราคาใน 3 รุ่นย่อยกันนิด เริ่มที่ตัว 2.4 GT 2WD อยู่ที่ 1,299,000 บาท ปรับลดไป 2,000 บาท ส่วนในตัว 2.4 GT-Premium 2WD อยู่ที่ 1,469,000 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 65,000 บาท และรุ่นท็อปในตัว2.4 GT-Premium 4WD อยู่ที่ 1,599,000 บาท เท่ากับปรับราคาเพิ่ม 55,000 บาทครับ
Mitsubishi Pajero Sport มี 5 สีให้เลือก ได้แก่ Sterling Silver, White Diamond, Graphite Gray, Deep Bronze เเละ Jet Black Mica และมี 3 รุ่นย่อย ได้แก่..
GT-2WD 1,299,000 บาท,
GT-Premium 2WD 1,469,000 บาท
GT-Premium 4WD 1,599,000 บาท
AFTER DRIVE BY KAN YENSABAI
บนเส้นทางการทดลองขับจากกรุงเทพฯ ไป-กลับ หัวหิน ทั้งแบบออนโรดและออฟโรด นับเป็นครั้งแรกที่ผมเองมีโอกาสได้ขับเจ้ารถอเนกประสงค์คันนี้ หลังมีการเผยโฉมเวอร์ชั่นแต่งหน้าทาปากอย่างเป็นทางการ ให้ ปาเจโร ดูสดและใหม่ขึ้นในแบบรถอเนกประสงค์ขนาดกลาง
จุดเปลี่ยนในเรื่องของหน้าตาที่ปรับใหม่ดูหรู ผสมความดุดันตามสมัยนิยมมากขึ้น ไฟท้ายย้ายไฟทับทิมลงด้านล่างและล้อลายอัลลอยใหม่ รวมไปถึงจุดขายในเรื่องฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ไม่ว่าจะเป็นจอ LCD แสดงข้อมูลการขับขี่ที่พยายามปรับให้ง่ายขึ้นต่อการอ่าน และความสะดวกสบายในส่วนของประตูท้ายแบบไฟฟ้าที่สามารถเปิดและปิดได้ด้วยสมาร์ทโฟน..
สำหรับมุมมองส่วนตัว ปาเจโร ยังเป็นพีพีวีที่ขับได้สนุก พวงมาลัยคม กำลังเครื่องยนต์ อัตราเร่งมาดี ตอบสนองเร็วและต่อเนื่อง ตัวรถแม้ดูสปอร์ตแต่แข็งแกร่ง การนั่งโดยสารได้สบายในแบบอารมณ์รถซีดาน นานๆ ครั้งอยากจะเอาไปลุยผจญภัยแบบออฟโรด ก็ไปได้แบบหล่อๆ สบายๆ แม้ในโอกาสจะได้ใช้งานลุยจริงๆ สำหรับผู้ใช้งานแทบจะน้อย เพราะส่วนใหญ่จะใช้เป็นรถอเนกประสงค์ทรงสวยๆ มากกว่า แต่ทางมิตซูบิชิเขาก็พัฒนามาให้ขับขี่ได้ยอดเยี่ยมในทุกสภาพถนน เป็นอีกหนึ่งรถพีพีวี ที่มีดีสมตัวเมื่อเทียบกับราคาค่าตัวครับ