มีโอกาสได้ลองขับ MG HS 1.5 Turbo X คันนี้ จากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เริ่มออกสตารท์ในช่วงของการขับทดสอบจากย่านฝั่งธนฯ ก่อนมุ่งหน้าข้ามสะพานสาทร และการขับขี่ออกนอกเมือง เพื่อมุ่งหน้าสู่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ตลอดระยะทางไป-กลับ กว่า-300 กิโลเมตร เพื่อทดสอบการขับขี่ ความคล่องตัว จากรถอเนกประสงค์ ที่ทาง MG เองภูมิใจนำเสนอ
เครื่องเบนซิน 1.5 เทอร์โบ 162 แรงม้า เกียร์ Twin Clutch 7 สปีด
ลองกดปุ่ม Push Start สีเงินสไตล์สปอร์ตดูพละกำลังของรถในการขับเคลื่อน ทาง MG ยังคงเลือกเครื่องเบนซินเทอร์โบ 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร ที่ยกมาจาก MG GS โฉมก่อนหน้าแต่มีการปรับจูนใหม่ทั้งหมด กำลังสูงสุด 162 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700-4,400 รอบ/นาที พร้อมส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ TST (Twin Clutch Sportronic Transmission) แบบ 7 สปีด ก็ได้เปลี่ยนความรู้สึกเดิมๆ ที่มีต่อ MG GS ให้หมดไป เกียร์มีการเปลี่ยนที่สมูธและสามารถตอบสนองการเร่งความเร็วได้แบบต่อเนื่อง นุ่มนวล แต่สามารถไต่ระดับความเร็วได้รวดเร็ว
น้ำหนักพวงมาลัยที่ปรับมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ขับขี่ได้อย่างสบายๆ และคล่องตัว สามารถควบคุมรถเปลี่ยนเลนได้ง่าย บนเส้นทางการขับ ทดสอบ การเร่งแซงทำได้มั่นใจ ส่วนการเติมคันเร่งเพิ่มความเร็วก็สามารถเรียกกำลังได้อย่างต่อเนื่อง และขับได้สนุก กับโหมดการขับขี่ให้เลือกใช้งานหลากหลายถึง 4 โหมด คือ โหมด Normal สำหรับการขับขี่แบบทั่วไป โหมด Eco เพื่อการประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น โหมด Sport เพื่อเพิ่มความสนุกในการขับขี่ และโหมด Custom ที่สามารถเลือกรูปแบบการขับขี่ได้ตามต้องการ ส่วนโหมดพิเศษ Super Sport ที่สามารถกดเรียกอัตราเร่งได้จากปุ่มกดบนพวงมาลัยได้ในทันที ก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเร่งแซงได้อย่างดี
ส่วนช่วงล่างแบบ Euro Tuning Suspension ด้านหน้าเป็นแบบ MacPherson Strut และด้านหลังแบบ Multi-link ที่ออกแบบและปรับเซ็ตมาเน้นความนุ่มนวลของช่วงล่างที่เพิ่มมากขึ้น สามารถซับแรงสะเทือนได้อย่างดี จากการสั่นสะเทือน หรือตัวรถมีอาการโยนจากการขับขี่ผ่านพื้นผิวถนน ให้ทั้งความสบายและความมั่นใจในการขับขี่
ดีไซน์ตัวรถเน้นความโค้งมน ภายในธีมหรูแต่ดูสปอร์ต
พูดถึงหน้าตาโดยรวมของรถการออกแบบตัวถัง ใช้เส้นสายแบบ British Shoulder Line เน้นเรื่องความโค้งมน แบบรถยุโรป กระจังหน้าดีไซน์เอกลักษณ์แบบ MG ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากกลุ่มดาวบนท้องฟ้าที่ดึงดูดเข้าหากัน ไฟหน้าแบบ LED Projector พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน และไฟท้ายแบบ LED Space Light Field ในรุ่นท็อปสุด รุ่น X ล้ออัลลอยมีขนาด 18 นิ้ว และมีระยะฐานล้อ 2,720 มม. ความสูงระยะต่ำสุดจากพื้น 145 มม. มีความจุถังน้ำมัน 55 ลิตร รวมไปถึงวงเลี้ยวแคบสุด 5.95 เมตร
ธีมสปอร์ตหรูหราถูกนำมาใช้ภายในรถ รวมไปถึงวัสดุหุ้มที่ให้ความรู้สึกนุ่มแบบ Soft Touch เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้าดีไซน์ Bucket Seat ทรงสปอร์ตสีดำสลับแดงที่มีส่วนหุ้มด้วยวัสดุ Alcantara โอบกระชับตัวและมีตัวปรับดันหลัง และเบาะที่นั่งด้านหน้าฝั่งผู้ขับก็สามารถปรับสูงต่ำได้ เบาะหลังและพื้นที่ด้านหลังกว้างขวางนั่งสบาย ตัวเบาะเองสามารถปรับพับได้แบบ 60:40 ส่วนเบาะหลัง ออกแบบคล้ายกับเบาะคู่หน้า และมีช่องเสียบชาร์จไฟ USB จำนวน 2 ช่อง พร้อมด้วยช่องเป่าลมแอร์ให้ผู้โดยสารด้านหลัง
อีกจุดที่น่าสนใจคือ ในเรื่องของไฟแบบ Interactive Ambient Light ในห้องโดยสาร ออพชั่นที่มักจะอยู่ในรถแบรนด์หรูราคาเกิน 2 ล้านบาท แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ออพชั่นนี้อยู่ในเอสยูวีที่มีราคาค่าตัวไม่เกิน 1.2 ล้านบาท โดยจะมีแสงต้อนรับทันทีที่เปิดประตูรถ และสามารถปรับโทนแสงภายในห้องโดยสารได้มากถึง 64 เฉดสี ผ่านหน้าจอกลางขนาดใหญ่ ทั้งยังเพิ่มความหรูด้วยหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof) ขนาดใหญ่ 1.1 ตารางเมตร ในรุ่นท็อปสุด
จัดเต็มกับระบบ i-SMART รับฟังคำสั่งเสียงภาษาไทยได้ดีกว่าเดิม
จุดที่เป็นเหมือนจุดรวบรวมการควบคุมหลายสิ่งอย่างบนรถไว้ในจุดเดียว คือ หน้าจอสัมผัสตรงกลางขนาด 10 นิ้ว ในห้องโดยสาร ทั้งการปรับอุณหภูมิแอร์ ปรับควบคุมเครื่องเสียง ยิ่งไปกว่านั้น การสั่งงานด้วยเสียงเพื่อใช้งานระบบ i-SMART ได้ถูกพัฒนาจนสามารถรับฟังคำสั่งเสียงภาษาไทยได้ดีกว่าเดิม และมีระบบนำทางพร้อมแสดงสภาพการจราจรแบบเรียลไทม์ติดตั้งมาให้ มีข้อมูลพยากรณ์อากาศ สามารถฟังเพลงแบบออนไลน์ True Music รวมไปถึงการดูข่าวที่น่าสนใจที่แบ่งตามหมวดหมู่เอาไว้ หรือเลือกสั่งการผ่าน MG Mobile Application บนสมาร์ทโฟน และระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone ที่ใช้การควบคุมผ่านจอกลางด้วยเช่นกัน โดยมีปุ่มกดบริเวณใต้ช่องปรับอากาศตรงกลางด้านหน้า ทำหน้าที่เป็นปุ่มคีย์ลัดในการใช้งานหน้าจอกลาง เพื่อการควบคุมระบบต่างๆ
ระบบความปลอดภัยจัดเต็ม ทั้งระบบก่อนการชน หลังการชน และตัวช่วยการขับขี่
ฟีเจอร์เด่น ไม่พูดถึงไม่ได้ คือกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา ที่ล้ำไปอีกขั้นด้วยการสร้างภาพเรนเดอร์รถขึ้นกลางจอ พร้อมให้ผู้ขับขี่กดเลือกมุมกล้องหรือมุมดูภาพรอบคันรถ ราวกับเป็นโมเดล 3 มิติ ที่ดูได้ครบถ้วนทุกมุมจากการควบคุมด้วยปลายนิ้วสัมผัส มาเคียงคู่กับ ระบบความปลอดภัยที่จัดเต็มมาให้ถึง 24 ระบบ ทั้งก่อนการชน หลังการชน รวมถึงฟีเจอร์ช่วยเหลือผู้ขับขี่ให้นั่งขับรถได้อย่างสะดวกสบาย ถุงลมนิรภัย 6 ใบและ ระบบควบคุมการทรงตัว ระบบช่วยออกตัวกับลงทางชัน ระบบควบคุมเบรก และระบบแจ้งไฟเตือนเบรกฉุกเฉิน ติดตั้งเป็นมาตรฐานบนรถทั้งสามรุ่นย่อยของ HS
ส่วนความพิเศษจะอยู่ที่รุ่นท็อปในรุ่น X จะติดตั้งระบบที่เรียกว่า ADAS (Advanced Driver – Assistance Systems) ที่รวมเอาระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้า ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ที่ทำงานตั้งแต่ความเร็วต่ำในชื่อ TJA (Traffic Jam Assitst) และรวมระบบตระกูลช่วยแจ้งเตือนพร้อมดึงและรักษารถให้อยู่ตรงกลางช่องจราจรเสมอ พร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) มีการทำงานที่สมูธ สามารถเบรกเพื่อรักษาระยะได้นุ่มนวล รวมไปถึงการเร่งความเร็วขึ้นไปตามที่ตั้งค่าไว้ แต่การใช้งาน ผ่านก้านควบคุมระบบ ACC ผู้ขับต้องใช้หลายขั้นตอนในการเข้าสู่ระบบนี้ อาจต้องอาศัยความคุ้นเคยสักพักถึงจะใช้งานได้คล่องแคล่วครับ
AFTER DRIVE BY KAN YENSABAI
เป็นอีกหนึ่งรถอเนกประสงค์ที่มาพร้อมออพชั่นมากมาย กับราคาค่าตัวที่จัดว่าคุ้มค่าไม่น้อย MG HS เป็นเหมือนเวอร์ชั่นตัวแทนของ MG GS อเนกประสงค์เดิมของค่ายที่อาจจะยังเคยมีความไม่ลงตัว อยู่ในหลายๆ จุด แต่สำหรับ MG HS นี้ ที่นับได้ว่ามาปรับและเปลี่ยนสิ่งใหม่ๆ ให้กับอเนกประสงค์ของทาง MG ทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ สมรรถนะในการขับขี่ ที่รวมไปถึงออพชั่นต่างๆ ที่ถูกติดตั้งให้มา
กับราคาค่าตัวที่เรียกเสียงฮือฮาในตลาดได้อย่างมาก จนทำให้ใครหลายๆ คนสนใจ และเป็นหนึ่งในตัวเลือกการตัดสินใจซื้อรถ ซึ่งเมื่อได้ทดลองขับและลองใช้งานจริงแล้ว ถือได้ว่าเป็นรถที่มีดีครบครันเอามากๆ คันหนึ่งเลยทีเดียว...
2 วันบนเส้นทาง กรุงเทพฯ-เขาใหญ่ กับการลองขับ ถ้าจะให้สรุปสั้นๆ กำลังเครื่องยนต์แม้จะไม่ใช่รถเน้นลุยจริงจังแต่ความนุ่มนวลของช่วงล่างก็สอบผ่าน สามารถซับแรงสะเทือนได้อย่างดี เทคโนโลยีล้ำสมัย นั่งสบาย กว้างขวาง ระบบความช่วยเหลือ รถรุ่นนี้คือหนึ่งในรถที่มีฟังก์ชั่นเหล่านี้ครบทั้งหมด ตัวรถก็ได้มอบความสบายได้ดีตลอดการเดินทาง ความเงียบในห้องโดยสารก็เป็นอีกเรื่องที่แก้ไขมาได้อย่างดี การวิ่งที่ความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง การเก็บเสียงลมและเสียงเครื่องยนต์ ถือว่าทำได้ดี
ทั้งหมดของรถที่พูดถึงมาสำหรับผม MG HS เป็นหนึ่งในตัวเลือกของรถยนต์ที่ติดทำเนียบ มีดีครบครันและคุ้มค่าในรถอเนกประสงค์พิกัดราคาไม่เกิน 1.2 ล้านครับ
ราคา MG HS 3 รุ่นย่อย
New MG HS รุ่น C ราคา 919,000 บาท
New MG HS รุ่น D ราคา 1,019,000 บาท
New MG HS รุ่น X ราคา 1,119,000 บาท (รุ่นที่ขับทดสอบ)