บนเส้นทางจากอำเภอเมือง มุ่งหน้าสู่อำเภอเชียงของจังหวัดเชียงราย รวมระยะทางไป-กลับกว่า 196 กิโลเมตร คือ เส้นทางที่ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เชิญสื่อมวลชนร่วมทดสอบสมรรถนะ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ อีกหนึ่งรุ่น รถยนต์ ที่เดิมทีจัดเป็นรถขายดีเบอร์ต้นของตลาดในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาด B-Segment แต่การกลับมาพร้อมกับการถูกนำเข้าไปอยู่ในเซ็กเมนท์ของกลุ่มรถยนต์อีโคคาร์ เฟส 2 ในขณะที่พื้นฐานหลายด้านของรถยังเป็นรถซิตี้คาร์ รถยนต์รุ่นนี้ หลายคนจึงให้ความสนใจกับการปรับเปลี่ยนที่ดูมีความแปลกใหม่และน่าสนใจในหลายจุด
เจเนอเรชั่นที่ 5 ดีไซน์เรียบหรู แต่ดูสปอร์ต
ก่อนเริ่มกิจกรรมการทดสอบสมรรถนะ ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ คณะสื่อมวลชนได้ร่วมรับฟังข้อมูลและรายละเอียดของการพัฒนาฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ จาก มร.ซาโตรุ อะซุมิ หัวหน้าทีมวิศวกรผู้พัฒนา ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ บริษัท ฮอนด้า อาร์แอนด์ดี จำกัด ประเทศญี่ปุ่น
สีแดงอิกไนต์ สีภายนอกใหม่ ช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับตัวรถ ส่วนเส้นสายที่เฉียบคมต่อเนื่องรอบคัน มาพร้อมโครงสร้างตัวถังในสไตล์ Wide & Low ที่ให้ความสปอร์ตปราดเปรียวมากยิ่งขึ้น และเป็นครั้งแรกกับรุ่น RS ที่เปลี่ยนมุมมองรถซิตี้คาร์ให้ดูสปอร์ต มากขึ้น ด้วยชุดแต่งสไตล์ RS รอบคัน ทั้งกระจังหน้าแบบ Gloss Black สีออกโทนดำตัดเข้ากันดีกับสีของตัวรถกันชนหน้าและกระจังหน้าสไตล์สปอร์ต ไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไฟตัดหมอกแบบ LED กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ตพร้อมไฟเลี้ยวในตัว ที่มีการย้ายตำแหน่งจากเสา A มาติดั้งที่ตำแหน่งข้างประตู สปอยเลอร์หลังแบบ Gloss Black พร้อมสัญลักษณ์ RS และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 16 นิ้ว
ภายในเน้นความเรียบง่ายทันสมัย
พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นจับกระชับมือ จากขนาดและร่องกริบที่พวงมาลัยมอบสัมผัสที่ดี แต่เหนืออื่นใดพวงมาลัยไม่เบาเกินไป ให้น้ำหนักดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมมาก ตกแต่งด้วยการเดินด้ายสีแดงมาพร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ รวมทั้งระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ส่วนมาตรวัดเรืองแสงพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ จะเป็นมาตรวัดเรืองแสงสีแดง แสดงแสดงข้อมูลการขับขี่ และฟังก์ชั่นการใช้งานพร้อมหน้าจอ ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI
ภายในห้องโดยสารที่เป็นโทนสีดำ เน้นความเรียบง่าย ทันสมัย มาพร้อมความหรูหราและสวยงามยิ่งขึ้น โดยยึดหลักของฮอนด้าในการพัฒนา โดยการวางเลย์เอาท์คอนโซลหน้าแบบ Piano Black ที่มีลักษณะลาด ไม่สูงชัน สร้างความรู้สึกโปร่งโล่งและมุมมองทัศนวิสัยที่กว้างและชัดเจนดีสำหรับผู้ขับขี่และผู้นั่งโดยสารตอนหน้า วัสดุภายในแบบบุนุ่มให้รู้สึกสัมผัสที่ดี ที่วางแขนขนาดใหญ่และ เบาะที่นั่งดีไซน์ใหม่ มีให้เลือกทั้งแบบเบาะหนังกลับ ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง เฉพาะรุ่น RS ส่วนเบาะหนังจะมีในรุ่น SV และเบาะผ้าในรุ่นย่อย V และ S มีการใช้เส้นสายแนวนอน การออกแบบมาสอดคล้องกับสรีระ ให้ความสะดวกสบายในทุกที่นั่งทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร การนั่งโดยสารในเบาะนั่งด้านหน้า นั่งสบายไม่เมื่อย โอบกระชับแผ่นหลังดี ส่วนเบาะแถวหลังช่วงวางขากว้างขวาง แต่ในส่วนของหลังคาที่ดูจะลาดเอียงลงมากว่ารุ่นเดิม อาจทำให้พื้นที่ Head Room บนหัวน้อยไปนิด
ในเรื่องการจัดวางช่องวางของขวดน้ำ แก้วน้ำ หรืออีกสารพัดมีพื้นที่อย่างเหลือเฟือ คืออีกจุดเด่นเฉพาะรุ่น RS ที่ได้ทำการทดสอบ ภายในห้องโดยสารยังวางตำแหน่งของช่องเชื่อมต่อ USB ไว้จำนวน 2 ช่อง และช่องจ่ายไฟสำรองด้านหน้า 1 ตำแหน่ง และด้านหลัง 2 ตำแหน่ง ในช่องเก็บของตรงกลางด้านหลัง สามารถวางขวดน้ำขนาด 1.5 ลิตร พร้อมมือจับเปิดประตูด้านในที่ตกแต่งด้วยโครเมี่ยม
เครื่องยนต์ 1.0 Turbo 122 แรงม้า พลังล้นกำลังเหลือๆ
ลองกดปุ่มระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบอัจฉริยะของขุมพลังเทอร์โบใหม่ เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO 3 สูบ 12 วาล์ว มาพร้อมเทอร์โบชาร์จเจอร์ ที่ทำหน้าที่อัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ได้เร็วขึ้น โดยมีวาล์วเวสเกตไฟฟ้าควบคุมการทำงานได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งนำพลังงาน ไอเสียส่วนเกินกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพอัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ได้เร็วขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ได้อย่างรวดเร็ว
ทางวิศวกร ของฮอนด้าแจ้งว่า จุดเด่นของเครื่องยนต์บล็อกนี้อยู่ที่ระบบ VTEC เต็มระบบอันเลื่องชื่อของฮอนด้า และระบบแคมชาฟท์ Dual VTC เพิ่ม-ลดองศาของแคมชาฟท์ในการเปิด-ปิดวาลว์ไอดี ไอเสีย และระบบแปรผันระยะยกของวาล์ว VTEC เป็นการแปรผันระยะยกของวาล์วไอดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประจุไอดีจำนวนมากเข้าสู่ห้องเผาไหม้ โดยจะแปรผันการทำงาน เพื่อให้สมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลัง ตอบสนองการขับขี่ได้รวดเร็วให้ตอบสนองต่อการทำงานได้ดีขึ้น รวมไปถึงการเลือกใช้อินเตอร์คูลเลอร์แบบน้ำ ซึ่งพิเศษด้วยการติดตั้งไว้ 2 ตัว ตัวแรกไว้สำหรับการระบายความร้อนปกติ แต่อีกหนึ่งตัวไว้สำหรับการช่วยระบายความร้อนของเทอร์โบโดยตรง จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้เต็มที่
ส่วนเทคโนโลยีอื่นๆ ที่น่าสนใจในเครื่องยนต์บล็อคนี้มีทั้งระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบฉีดตรง (Direct Injection) เป็นระบบฉีดตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ด้วยปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงแรงดันสูง ส่งผลให้ได้พลังงานที่เกิดจากการเผาไหม้ที่รุนแรง รวดเร็ว ทำให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที ตอบสนองได้ทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 - 4,500 รอบ/นาที ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่าเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม และแรงบิดเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร
ในด้านระบบส่งกำลัง ยังเป็นระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT) ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ 7 สปีด สะดวกสบายด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ โดยขุมพลังเทอร์โบใหม่นี้ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานไอเสียยูโร 5 (EURO 5) ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 99 กรัม/กิโลเมตร และสามารถรองรับน้ำมัน E20 ได้อีกด้วย และให้อัตราเร่งและอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยมสูงถึง 23.8 กิโลเมตร/ลิตร ตามสเปกที่ทางฮอนด้าให้ข้อมูลไว้
เทคโนโลยีความปลอดภัย มั่นใจได้
โครงสร้างตัวถังนิรภัย G-Force Control หรือ G-CON ถุงลม 6 ตำแหน่ง ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist – VSA) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA) กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมองได้ 3 ระดับ ที่ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการถอย โดยสามารถเลือกดูมุมกล้องที่แตกต่างกันได้ทั้งแบบ 130 องศา 180 องศา และมุมมองจากด้านบน ในจังหวะที่เกียร์ถูกเปลี่ยนมาอยู่ในตำแหน่งเกียร์ถอยหลัง และสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal - ESS) เป็นระบบที่ทำงานโดยอัตโนมัติ โดยสัญญาณไฟฉุกเฉินจะทำงานเมื่อมีการเหยียบเบรกกะทันหัน เป็นการแจ้งเตือนรถที่ตามมาข้างหลัง
AFTER DRIVE BY KAN YENSABAI
โดยส่วนตัวสำหรับผมต้องบอกว่า ฮอนด้าดูจะถนัดมากในเรื่องการดีไซน์ปรับและปรุงทำรถให้สวยถูกใจกลุ่มผู้ใช้ งาน การเลือกใช้เส้นสายเพื่อให้เกิดคาแร็คเตอร์ที่โดดเด่นดูลงตัวในแทบทุกจุด การจัดวางอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในอยู่ขั้นหรูและดูแพง นอกจากสวยงามยังเน้นรองรับการใช้งานจริง ในทุกพื้นที่ซึ่งก็ถือเป็นอีกเรื่องเด่นของฮอนด้า แต่การเลือกเน้นไปที่ความสวยงาม โดยเฉพาะในรุ่น Honda City RS ที่ดูโดดเด่นขึ้น ด้วยชุดแต่งรอบคัน กระจังหน้าแบบ Gloss Black และสัญลักษณ์ RS
การเลือกปรับ Downsizing เครื่องยนต์จากเดิม คือเบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบ มาเป็น 1.0 ลิตร 3 สูบ แน่นอนนอกจากความประหยัด ด้านสมรรถนะก็เหมือนได้ฤกษ์อัพเกรดจูนสมรรถนะกันใหม่ทั้งหมดด้วย ด้านเครื่องยนต์บล็อกนี้ แม้ไม่ใช่เครื่องยนต์ใหม่กิ๊กๆ ตามข้อมูลที่ทางฮอนด้าให้มา คือ เครื่องยนต์ที่บรรจุอยู่ในซีวิครุ่นที่ขายอยู่ในประเทศจีนและอเมริกา แต่เมื่อมาวางในห้องเครื่องของรถที่มีบอดี้เล็กลงและต้องปรับจูนให้ผ่านมาตรฐานอีโคคาร์เฟส 2 บอกตรงนี้เลย ว่าฮอนด้า ทำออกมาได้ดี
เพราะจากการขับขึ้น-ลง เขา บนเส้นทางทดสอบ จาก เชียงของ-เชียงราย สมรรถนะของเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร ตัวนี้ ทำงานได้ดีและเนียน แทบไม่มีจงหวะสะดุด ให้เสียอารมณ์ ทั้งจากจังหวะการกดคันเร่งเพื่อไล่ความเร็ว พบว่าพละกำลังมาแบบว่องไว ช่วงทางตรงกดนิดเดียววิ่งทะลุไปถึง 140-150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รวมไปถึงในจังหวะการเร่งแซงบนทางขึ้นเขา ก็ทำได้ดีแบบไม่ต้องมีลุ้น รวมถึงท็อปสปีดที่บอกเลยว่า ทำได้ไม่ธรรมดา ส่วนหนึ่งนอกจากเครื่องยนต์เชื่อว่าการปรับเซ็ตเกียร์ CVT ที่ในตัวชุดเกียร์มีการปรับปรุงในส่วนขององศาของตัวสายพานกระดูกงูใหม่ให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น และลงตัวกับเครื่องยนต์บล็อกนี้ มากขึ้น
ช่วงล่าง มีความนุ่มนวล รองรับการใช้งานได้ดีครับ ในช่วงทางตรงใช้ความเร็วสูงมาก ตัวรถยังนิ่ง คุมทรงอาการได้ดี ช่วงเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงไม่มีอาการท้ายออก หรือย้วย เซ็ตมาให้รองรับกับการใช้งานในความเร็วตามที่กฎหมายกำหนดทั่วไปได้อย่างดี แต่ปิดท้ายส่วนตัวสำหรับผมเชื่อว่า ใครที่สนใจและเล็งๆ รถยนต์รุ่นนี้ไว้ ซื้อไปแล้วลงทุนอีกนิดไปปรับจูนระบบช่วงล่าง ให้แน่นหนึบขึ้น เพิ่มให้รองรับกับความล้นเหลือของเครื่องยนต์ที่มีความจัดจ้านในเรื่องของความกำลังแรง ได้มากกว่านี้ รับรองฮอนด้า ซิตี้ คันนี้จะเป็นรถอีโคคาร์ที่มีสมรรถนะไม่ธรรมดาครับ…
ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่น
รุ่น RS ราคา 739,000 บาท
รุ่น SV ราคา 665,000 บาท
รุ่น V ราคา 609,000 บาท
รุ่น S ราคา 579,500 บาท
ฮอนด้า ซิตี้ เทอร์โบ ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีใหม่ สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) เฉพาะรุ่น RS สีขาวแพลทินัม (มุก) เฉพาะรุ่น RS และรุ่น SV สีดำคริสตัล (มุก) สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก) สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก) และสีขาวทาฟเฟต้า เฉพาะรุ่น V และรุ่น S และยังสามารถเสริมความสปอร์ตในสไตล์ที่แตกต่างด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งโมดูโล (Modulo) รอบคัน
ในฮอนด้า ซิตี้ เทอร์โบ ใหม่ เฉพาะรุ่น RS ยังมี ฟังก์ชันที่น่าสนใจ คือ Honda CONNECT ที่เป็นเจเนอเรชันล่าสุดของ เทคโนโลยีเชื่อมต่อรถยนต์ที่สามารถเชื่อมต่อรถยนต์ และทำงานผ่านแอปพลิเคชั่นบนมือถือ ให้คุณและรถยนต์สามารถสื่อสารกันได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส มาพร้อมหลากหลายฟังก์ชันการทำงาน โดยมี 8 ฟังก์ชั่นการใช้งานหลัก ที่จะมาช่วยอำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยตลอดการเดินทาง