ย้ำภาพความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งด้านยนตกรรมพลังงานไฟฟ้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ยกทัพสื่อมวลชนร่วมทดสอบสมรรถนะยนตกรรมปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ล่าสุด “The E 350 e” พร้อมด้วยยนตกรรมรุ่นอื่นๆ ภายใต้แบรนด์ใหม่ล่าสุด “EQ”
การเปิดตัวแบรนด์ “EQ–Electric Intelligence by Mercedes-Benz” แบรนด์เทคโนโลยีใหม่ภายใต้แบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ได้รับการพัฒนามาจากแนวคิดของการเติมเต็มทั้งทางด้านสุนทรียะในการขับขี่ ผสานกับความชาญฉลาดของยานพาหนะ ที่ครอบคลุมไปถึงรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดทุกคัน เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้วางรากฐานไว้ เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025”ภายใต้กลยุทธ์ “เดอะเบสท์” (THE BEST) เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะนำเสนอ “สิ่งที่ดีที่สุด” ให้กับลูกค้า
ตลอดเส้นทางความยาวกว่า 800 กิโลเมตร จากจังหวัดพังงาจนถึงกรุงเทพฯ ในงานนี้เรียกได้ว่าเป็นการได้มาสัมผัส ความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่ยนตกรรมในกลุ่มปลั๊กอินไฮบริดรุ่นต่างๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในพอร์ทโฟลิโอนี้ครบทั้ง 12 รุ่นตั้งแต่ C 350 e จำนวน 4 รุ่น คือ C 350 e AMG Dynamic, C 350 e Exclusive, C 350 e Avantgarde และ C 350 e Estate AMG Dynamic The S 500 e จำนวน 3 รุ่น คือ S 500 e Executive, S 500 e Exclusive และ S 500 e AMG Premium GLE 500 e จำนวน 3 รุ่น คือ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic และ GLE 500 e 4MATIC Exclusive
ซึ่งงานนี้ถือเป็นครั้งแรกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ที่ได้รวบรวมสุดยอดยานยนต์ในกลุ่มปลั๊กอินไฮบริดครบทั้งพอร์ทโฟลิโอมาให้สื่อมวลชนได้ทดสอบสมรรถนะกันอย่างเต็มที่ โดยมีไฮไลท์อยู่ที่ The E 350 e ยนตกรรมรุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ให้สื่อมวลชนได้สัมผัสกับทุกสมรรถนะอันแข็งแกร่ง จากยานยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นสมรรถนะการขับขี่ ความปลอดภัย รวมถึงเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ ตลอดจนความสะดวกสบายในรูแบบการขับขี่ทางไกล
Mercedes-Benz E 350 e
นี่คือรถยนต์ซีดานระดับพรีเมี่ยมที่ผสมผสานเทคโนโลยีล่าสุดของเครื่องยนต์ไฮบริด นวัตกรรมด้านยานยนต์ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกชั้นเลิศ และภาพลักษณ์อันหรูหราของรถยนต์ตระกูลอี-คลาสเข้าไว้ด้วยกัน มีให้เลือก 3 ดีไซน์ด้วยกัน คือ Avantgarde, Exclusive และ AMG Dynamic
ดีไซน์ภายนอกและห้องโดยสารมีระดับตามแบบฉบับ อี-คลาส
รูปลักษณ์ที่ดูสง่างามอย่างมีระดับตามแบบฉบับของรถยนต์ตระกูลอี-คลาส โดย The E 350 e Avantgarde มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ LED High Performance สำหรับรุ่น The E 350 e Exclusive และ The E 350 e AMG Dynamic มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED, ระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (ILS–Intelligent Light System), ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ALS – Active Light System), ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (Cornering Light), ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist Plus)
ส่วนในบอดี้ที่ตกแต่งเต็มดีกรีความสปอร์ตแบบ The E 350 e AMG Dynamic จะเพิ่มเติมความพิเศษด้วยล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว, หลังคาพาโนรามิกซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า, กันชนหน้า-หลัง และสเกิร์ตข้างดีไซน์สปอร์ตแบบ AMG, ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน และสัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิเปอร์ เบรกหน้า
ห้องโดยสารให้ดูกว้างขวางและดูหรูหราด้วยคุณสมบัติอัจฉริยะมากมาย โดยมีรางวัลจากงาน “Automotive Interiors Expo Awards” ประจำปี 2016 ในด้าน “ห้องโดยสารยอดเยี่ยมสำหรับรถยนต์ที่ผลิตเพื่อการจัดจำหน่ายจริง แนวคิด Contemporary Luxury เป็นเครื่องการันตี
เบาะที่นั่งตอนหลังสามารถพับลงแบบ 1/3 และ 2/3 เพื่อความสะดวกในการบรรจุสัมภาระ ซึ่งรุ่น The E 350 e Avantgarde และ The E 350 e Exclusive ภายในได้รับการตกแต่งสไตล์หรูหรา มาพร้อมกับเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง Nappa และระบบ COMAND Online พร้อม Controller, ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย Touchpad, ระบบสั่งการด้วยเสียง (LINGUATRONIC) เฉพาะภาษาอังกฤษ, ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apple CarPlay™) และ Android (Android Auto) รวมถึงการติดตั้งระบบแผนที่นำทางพร้อมเพิ่มสุนทรียภาพในการโดยสารด้วยระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สีอีกด้วย
ส่วนในรุ่น The E 350 e AMG Dynamic จะมาพร้อมกับความพิเศษด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ตท้ายตัดหุ้มหนัง Nappa, นอกจากนี้ สำหรับรุ่น The E 350 e Exclusive และ The E 350 e AMG Dynamic จะมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลข้อมูลแบบ widescreen cockpit และระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up Display) และในส่วนของระบบมัลติมีเดียนั้นก็จะติดตั้งระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester®
ขับเคลื่อนด้วย EV พลังงานไฟฟ้าเพียวๆ ได้ไกล 33 กิโลเมตร
Mercedes-Benz E 350 e ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 1,991 CC กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 350 นิวตัน-เมตร ที่ความเร็วรอบ 1,200-4,000 รอบ/นาที และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 88 แรงม้า แรงบิดสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 440 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่ที่ 6.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC PLUS) พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
หัวใจหลักของรถคือ เรื่องความประหยัดพลังงาน ด้วยอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยถึง 40-47.62 กิโลเมตร/ลิตร พร้อมด้วยการปล่อย CO2 เพียง 49-57 กรัม/กิโลเมตร รวมถึงขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือ EV เพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 33 กิโลเมตร ซึ่งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์เลือกใช้จะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า และให้กำลังรวมกัน 210 กิโลวัตต์ (286 แรงม้า) และมีแรงบิดสูงถึง 550 นิวตัน-เมตร
การผสมผสานเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้านี้ช่วยให้รถยนต์รุ่น The E 350 e นับเป็นรถยนต์ที่มีสมรรถนะการขับขี่เทียบเท่ารถสปอร์ตแต่มีอัตราการใช้พลังงานต่ำกว่ารถยนต์คอมแพ็ค และผ่านการตรวจสอบผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมโดยสำนักงาน TÜV (สำนักงานตรวจสอบมาตรฐานทางเทคนิคแห่งประเทศเยอรมนี - The German Technical Inspection Authority) และได้รับใบรับรองด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานของทวีปยุโรป
จัดเต็มเรื่องความปลอดภัยและเทคโนโลยี
Mercedes-Benz E 350 e มาพร้อมกับระบบ “Mercedes-Benz Intelligent Drive” เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด ด้วยระบบการช่วยเหลือและระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ โดยระบบดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากแนวคิดการปกป้องก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุเข้าไว้ด้วยกันภายใต้ระบบควบคุมอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวที่ทำงานสอดประสานกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Parking Pilot including Active Parking Assist) และระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (Wireless Charging for Mobile Phone) โดย E 350 e Avantgarde จะมาพร้อมกับกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยรถ ในขณะที่ E 350 e Exclusive และ E 350 e AMG Dynamic จะมาพร้อมกับกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง รวมถึงระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า (Distance Pilot DISTRONIC) และระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist) ที่ติดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในรถยนต์รุ่นนี้อีกด้วย
ร่วมมอบโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็ก โรงเรียนเยาววิทย์ จังหวัดพังงา
นอกจากการจัดกิจกรรมทดสอบสมรรถนะของรถยนต์ ในกลุ่มปลั๊กอินไฮบริดรุ่นต่างๆ แล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมที่จะตอกย้ำคุณค่าของแบรนด์ในด้าน “ความรับผิดชอบ” (Responsibility) ที่ทางบริษัทได้ยึดถือมาโดยตลอดคือ การสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อตอบแทนสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง บริษัทเล็งเห็นถึงความสำคัญของการศึกษา ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างและผลักดันเยาวชนให้เติบโตมาเป็นสมาชิกที่สำคัญของสังคมไทยและหนึ่งในความภาคภูมิใจของบริษัทคือ การให้การสนับสนุนในด้านต่างๆ แก่โรงเรียนเยาววิทย์ ในจังหวัดพังงา โดยครั้งนี้บริษัทได้ร่วมกับคณะสื่อมวลชนมอบเงินสนับสนุนทางการศึกษาจำนวน 500,000 บาท พร้อมด้วยชุดอุปกรณ์เครื่องเขียน ซึ่งประกอบด้วยสมุดจดบันทึกที่มีตราประทับพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ดินสอ ยางลบ และกบเหลาดินสอจำนวน 300 ชุด ให้แก่เด็กนักเรียนที่โรงเรียนเยาววิทย์ จังหวัดพังงา
โดยชุดเครื่องเขียนที่นำมา แจกจ่ายในครั้งนี้ เป็นการต่อยอดมาจากกิจกรรมจัดทำชุดเครื่องเขียนเพื่อเด็กนักเรียนผู้ยากไร้ที่จัดขึ้นที่ “เมอร์เซเดส มี บ็อกซ์ (Mercedes me BOX)” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งในปีนี้บริษัทวางแผนที่จะนำอุปกรณ์เครื่องเขียนเหล่านี้ไปบริจาคให้กับเด็กนักเรียนผู้ยากไร้ตามเขตพื้นที่ต่างๆ ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะเข้าไปจัดกิจกรรม ‘สตาร์ เฟส โรดโชว์ (Star Fest Roadshow)’ อีกด้วย”
จนถึงปัจจุบันนับเป็นระยะเวลากว่า 11 ปีแล้ว นับตั้งแต่โรงเรียนแห่งนี้ได้รับการก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2549 เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบจากภัยสึนามิ ทั้งในเรื่องของเงินทุนสนับสนุนด้านการศึกษา อุปกรณ์การเรียนต่างๆ การลงพื้นที่เพื่อร่วมปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณโรงเรียน ตลอดจนการมอบโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กด้อยโอกาสเพื่อให้พวกเขาได้มีศักยภาพ ในการใช้ชีวิตและประกอบอาชีพการงานที่ดีในอนาคต ซึ่งกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของบริษัท ในด้านความมุ่งมั่นและการเล็งเห็นถึงความสำคัญในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและส่วนรวมได้เป็นอย่างดี
SPECIFICATIONS
ราคา MERCEDES-BENZ E 350 e
• The E 350 e Avantgarde 3,490,000 บาท
• The E 350 e Exclusive 3,790,000 บาท
• The E 350 e AMG Dynamic 4,090,000 บาท
AFTER DRIVE BY KAN YENSABAI
เรียกได้ว่าหลังเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า E 350 e ภายใต้แบรนด์ใหม่ EQ ที่นับต่อจากนี้จะเป็นแบรนด์นี้ จะเป็นตัวแทนในเรื่องความล้ำหน้าทางด้านเทคโนโลยีของทางเบนซ์ล้วนๆ เหมือนกับที่เคยทำ AMG ให้เป็นแบรนด์ตัวแทนในเรื่อง Performance หรือ แบรนด์ Maybach ที่เป็นตัวแทนในเรื่องไฮคลาสความหรูหรา
เปิดตัวไม่กี่วันผมก็ได้มีโอกาสมาสัมผัสฟีลลิ่งการขับขี่จริงๆ บนเส้นทางที่เริ่มต้นจากพังงา จนมาจบทริป ที่ รร.โหมดสาธร ในกทม. จริงๆ แล้วบนระยะทางกว่า 3 วัน 800 กิโลเมตร ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ เขาใจถึงเตรียมรถในตระกูลปลั๊กอินไว้ครบพอร์ทโฟลิโอ ทั้ง 12 รุ่น ไล่ตั้งแต่รุ่นเล็กสุดอย่าง C 350 e มาจนถึง S 500 e และรถในแบบ SUV ขับเคลื่อน 4 ล้อ อย่าง The new GLE 500 e ซึ่งได้ลองขับหมุนเวียนกันครบถ้วนทุกคัน
แต่ผมจะขออนุญาตลงรายละเอียดการทดสอบเฉพาะ E 350 e ที่เป็นรถไฮไลท์ของงานนี้ ที่มีจุดที่น่าสนใจอยู่ 4 เรื่อง สำหรับผมก็คือ 1. ในเรื่องรูปลักษณ์ ที่มีให้เลือกถึง 3 ดีไซน์ ทั้งเน้นความสง่างาม มีระดับแบบในรุ่น Avantgarde และ รุ่น Excluusive รวมถึงแบบ AMG Dynamic ที่รูปลักษณ์โดดเด่นแนวสปอร์ตจากชุดแต่งสเกิร์ตรอบคัน หลังคาพาโนรามิกซันรูฟไฟฟ้า และล้ออัลลอย AMG 19 นิ้ว คันที่ผมได้ลองขับฝ่าสายฝนเพื่อลองสมรรถนะการขับขี่ และภายในห้องโดยสารดูงานเนี้ยบและประณีต ใช้วัสดุและการประกอบที่ดูมีราคากว่าคู่แข่งในพิกัดเดียวกัน โดยเฉพาะหน้าจอแสดงข้อมูลแบบ Widescreen Cockpit และระบบแสดงข้อมูลการขับบนกระจกหน้า และลำโพง Busmester รอบทิศทางที่จำเป็นยามเดินทางไกลอยู่บนรถ
ในเรื่องที่ 2 คือ กำลังของเครื่องยนต์และความสมูธของเครื่องยนต์ ที่ให้ความสนุกจากการขับขี่ เพราะบนเส้นทางการขับขี่แบบเดินทางไกลผ่านหลายจังหวัดในครั้งนี้ แต่เครื่องยนต์ 211 แรงม้า เบนซิน 4 สูบ 1,991 CC และเกียร์อัตโนมัติแบบ 9 สปีด ที่ให้กำลังเหลือกินเหลือใช้ครับ ไม่ได้เป็นสองรองใครในพิกัดรถซีดานระดับพรีเมี่ยม แม้จะชื่อว่าเป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด แต่ในจังหวะเร่งแซง การไล่ความเร็ว ถ้าคุณไม่เฉลยว่านี่คือรถปลั๊กอินไฮบริด น้อยคนที่จะจับอาการได้ เห็นบอดี้รถใหญ่ๆ แบบนี้อัตราเร่งช่วงออกตัวทำเอาหลังติดเบาะได้เหมือนกัน แถมยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือกใช้
ส่วนในเรื่องที่ 3 คือ ความประหยัด แน่นอนครับจุดขายของรถ E 350 e คันนี้ อยู่ที่การมีข้อดีกว่ารถปลั๊กอินไฮบริดแบบทั่วไป เพราะสามารถวิ่งด้วยระบบไฟฟ้าล้วนๆ ในโหมดรูปแบบการทำงานของเครื่องยนต์แบบ E- Mode ด้วยระยะทางเฉลี่ยที่ 33 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางที่มากพอที่จะทำให้คุณขับ E 350 e คันนี้ เริ่ดๆ เชิดๆ ไปทำงานโดยไม่ต้องเสียสตางค์ค่าน้ำมันสักกะแดงเดียว ที่สำคัญได้ระยะทางขนาดนี้ไม่ใช่ว่าค่อยๆ ขับ ค่อยๆ คลาน ให้เต่ากัดยางรถเล่นได้นะครับ เพราะสามารถทำความเร็วของรถ ในโหมดนี้ได้ถึง 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง อือหือ..ไม่ธรรมดาจริงๆ
ยิ่งถ้าคุณเป็นนักวางแผนการเดินทาง โหมด Chart ก็จะทำให้คุณมีทางเลือกในการประหยัดมากขึ้นไปอีก เพราะเมื่อคุณเลือกใช้โหมดนี้ในการขับ ถึงจะเป็นโหมดที่ใช้น้ำมันเพราะเครื่องยนต์ทำงานตลอดเวลา แต่การทำงานของเครื่องยนต์นั้น นอกจากจะใช้เป็นกำลังในการขับเคลื่อนแล้ว ยังทำหน้าที่เหมือนเครื่องปั่นไฟและชาร์จไฟในแบตเตอรี่ไปพร้อมๆ กันทำให้ตัวเลขประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่เพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากการชาร์จไฟบ้านธรรมดาขนาด 220 โวลต์ ที่ก็ทำได้ง่ายๆ
ปิดท้ายด้วยเรื่องที่ 4 ในเรื่องระบบความปลอดภัยของรถ ทั้งระบบช่วยกะระยะห่างจากรถคันหน้า และระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา ที่มีติดตั้งเป็นครั้งแรกในรถตระกูล E-Class
โดยรวมจึง E 350 e คันนี้ยังเป็นรถที่ตอบโจทย์เรื่องภาพลักษณ์ผู้ดีดูมีสตางค์ แบบฉบับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ความทันสมัย รักษ์โลก เทคโนโลยี เครื่องยนต์ครบครัน คุ้มค่า ในราคาที่ไม่ไกลเกินไปสำหรับใครที่อยากเป็นเจ้าของครับ