บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จัดกิจกรรม BMW Driving Experience 2017 นำสื่อมวลชนมุ่งหน้าสู่สนามทดสอบ Bridgestone Proving Ground ไทยบริดจสโตน จังหวัดสระบุรี เพื่อร่วมสัมผัสสมรรถนะการขับขี่แห่งอนาคต ที่ได้รับการออกแบบเพื่อสุนทรียะในการเดินทางและการใช้งานที่สะดวกสบาย ที่สำคัญลดการปล่อยมลภาวะกับรถยนต์ BMW 330e M Sport ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีปลั๊กอิน ไฮบริด
ยกระดับและทักษะการขับขี่ กับกิจกรรม BMW Driving Experience 2017
เพราะบีเอ็มดับเบิลยูเชื่อว่า การได้ขับรถยนต์ในสนามทดสอบชั้นเลิศ จึงสามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ในสถานการณ์เฉพาะหน้าต่างๆ ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถสัมผัสและเข้าใจในสมรรถนะและนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ที่พร้อมช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่างดีที่สุดในทุกสถานการณ์
กิจกรรม BMW Driving Experience 2017 นี้ จึงถูกจัดขึ้นที่สนามทดสอบไทยบริดจสโตน จังหวัดสระบุรี สนามทดสอบที่ทันสมัย ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สามารถรองรับการทดสอบยางรถยนต์ในการขับขี่ด้วยความเร็วสูง จำลองการขับขี่ได้หลากหลายรูปแบบ พร้อมความมั่นใจในการขับขี่อย่างปลอดภัย เพื่อยกระดับประสบการณ์สุดท้าทายและศักยภาพในการขับขี่
โดยกิจกรรมนี้มี BMW 330e M Sport พร้อมเทคโนโลยีปลั๊กอิน ไฮบริด รุ่นประกอบในประเทศไทย ราคาจำหน่าย 2,799,000 บาท กับเทคโนโลยี iPerformance ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ขุมพลังเบนซิน 4 สูบ BMW TwinPower Turbo ที่ทรงพลังเจ้าของรางวัล International Engine of the Year เป็นรถทดสอบในทริปนี้เพียงรุ่นเดียว
ตามข้อมูลของทางบีเอ็มดับเบิลยู เจ้า BMW 330e M Sport มาพร้อมความโฉบเฉี่ยวด้วยชุดแต่ง M Aerodynamic ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ลาย Double-Spoke และช่วงล่าง M Sport สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งถูกปรับให้ต่ำกว่าเดิม 10 มิลลิเมตร พร้อมสปริงของช่วงล่าง M Sport และท่อนกันโคลงของช่วงล่างด้านหน้าและด้านหลังที่ช่วย
นอกจากนี้ BMW 330e M Sport มาพร้อมกับกระจกซันรูฟ สั่งงานเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมแผ่นเบนทางลมที่ติดตั้งมากับกระจกซันรูฟ ช่วยลดลมหมุนเวียนเข้ามาภายในและลดเสียงรบกวนที่เกิดจากลมภายนอก ขณะที่ภายในห้องโดยสาร เติมเต็มความสปอร์ตกับพวงมาลัยหนังบีเอ็มดับเบิลยู M พร้อมก้านเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย เบาะนั่งแบบสปอร์ตพร้อมที่หนุนหลังปรับไฟฟ้า (Lumbar Support) สำหรับเบาะนั่งตอนหน้าระบบนำทาง เครื่องเสียงระบบ Hi-fi แผงคอนโซลลาย Aluminium Hexagon และพนักพิงเบาะหลังสามารถปรับแบ่งพับได้แบบ 40:20:40
กำลังสูงสุดได้ที่ 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้า พร้อมแรงบิด 290 นิวตัน-เมตร ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้ามอบกำลังเพิ่มเติมสูงสุดอีก 65 กิโลวัตต์ / 89 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ให้สมรรถนะที่พร้อมตอบสนองในเสี้ยววินาทีตามสไตล์ระบบส่งกำลังไฟฟ้า ทำงานประสานกันกับระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 8 จังหวะ เพื่อให้ขับขี่ได้สนุก ทันใจ โดยสามารถเลือกขับขี่โดยใช้พลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ที่ความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ส่วนในโหมดไฮบริด BMW 330e M Sport เร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 6.1 วินาที และมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 225 กิโลเมตร/ชั่วโมง และเมื่อใช้งานร่วมกันเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าชุดนี้จะมอบกำลังสูงถึง 185 กิโลวัตต์ / 252 แรงม้า ให้เร่งความเร็วได้อย่างใจนึก ทั้งยังประหยัดน้ำมันด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 55.6 กิโลเมตร/ลิตรและลดระดับมลภาวะในการขับขี่กับอัตราการปล่อย CO2 ที่ 42 กรัม/กิโลเมตรเท่านั้น ลดอาการโยนในโค้ง เพิ่มความแม่นยำของการบังคับเลี้ยวโดยยังไม่ทิ้งความนุ่มนวลในการขับขี่
ทดสอบ iPerformance และ M Performance ใน BMW 330e M Sport
การให้ความรู้และเทคนิคต่างๆตลอดทั้งวันของ “BMW Driving Experience 2017” เป็นไปอย่างเข้มข้น ในเรื่องเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดใน BMW 330e M Sport สามารถนำสมรรถนะของมอเตอร์ไฟฟ้ามาใช้งานได้อย่างคุ้มค่า และแบตเตอรี่ของรถมีความจุ 7.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งประกอบไปด้วยโมดูลแบตเตอรี่ 5 ตัว ที่ตอนท้ายของรถ โดยแต่ละโมดูลสามารถถอดเปลี่ยนได้ตามความจำเป็น จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาและสามารถชาร์จได้กับปลั๊กไฟบ้านทั่วไป โดยมีช่องเก็บสายชาร์จอยู่ใต้พื้นที่เก็บสัมภาระตอนท้ายก็ไม่เป็นภาระของรถ และไม่ทำให้บาลานซ์การคุมรถที่มีการกระจายน้ำหนัก 50-50 สูญเสียไป
ตลอดการเวิร์กช็อป BMW 330e M Sport ที่เริ่มกิจกรรมในช่วงเช้ากับการเรียนเบสิกเริ่มต้นของการขับรถ คือเรื่องการปรับท่านั่งที่ถูกต้องในการขับรถ ทั้งตำแหน่งความสูงของเบาะนั่ง ระยะห่างของช่วงขาที่เหมาะสมในการเหยียบแป้นคันเร่งและเบรก ตำแหน่งของพวงมาลัยที่เหมาะสม รวมถึงการวางมือจับกริปพวงมาลัยที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด เพราะด้วยความเคยชินเมื่อเจอสถานการณฉุกเฉิน เบสิกเริ่มต้นที่ว่ามานี้เราเองยังทำได้ไม่ถูกต้อง 100%
ส่วนในกิจกรรมช่วงบ่ายเป็นการทดสอบรถยนต์ BMW 330e M Sport ผ่านสถานีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดริฟท์เข้าโค้งอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ การขับขี่บนสภาพพื้นผิวที่ท้าทายอย่างปลอดภัย รวมไปถึงการตอบสนองต่อการขับขี่ซึ่งไม่สามารถจำลองสถานการณ์บนถนนทั่วไปได้ มีโอกาสได้รีดสมรรถนะความร้อนแรงของ BMW 330e M Sport ผ่านหลากหลายสเตชั่น หรือสถานี ทดสอบ ทั้งการเบรกกะทันหันให้รถหยุดสนิท / เรียนรู้เทคนิคการแก้อาการของรถเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น อาการUndersteer หรืออาการหน้าดื้อโค้งแบบที่เรานำรถเข้าโค้ง แต่รถไม่วิ่งโค้งไปตามโค้งได้มากพอจนทำให้รถพุ่งตกถนน
รวมทั้งอาการ Oversteer หรืออาการท้ายปัดที่เกิดขึ้นได้จริงบนท้องถนน และอันตรายเพราะรถเมื่อท้ายปัดแล้วจะสามารถหันไปได้ทุกทิศทุกทาง เพราะไม่สามารถประคองแรงเหวี่ยงขณะเข้าโค้งได้ รวมไปถึงการขับขี่คุมรถในแบบดริฟท์เข้าโค้ง และขับซิกแซกผ่านไพล่อนแบบ Slalom และปิดท้ายด้วยการทดสอบแบบการแข่งขันจริง ในสถานี Hotlap ที่ BMW 330e M Sport ในเวอร์ชั่นปลั๊กอินนี้ก็ยังเร็วและแรง และทำให้รู้สึกดีเมื่อคุมรถหลังพวงมาลัย ที่สำคัญยังมีผู้ฝึกสอนที่เชี่ยวชาญของบีเอ็มดับเบิลยู พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการขับขี่และตอบสนองต่อสถานการณ์เฉพาะหน้าอย่างฉับไวและปลอดภัยตลอดทั้งกิจกรรม
AFTER DRIVE BY KAN YENSABAI
สำหรับการทดสอบในคอร์สอบรม BMW Driving Experience 2017 ครั้งนี้ ต้องบอกว่าเป็นการมาทดสอบประสิทธิภาพและสมรรถนะในเรื่องการรักษาบาลานซ์ของรถที่ตระกูล BMW เขาขึ้นชื่อลือชาในเรื่องการกระจายน้ำหนักรถแบบ50-50 หน้าและหลังรถเท่าๆ กัน ที่มีใน BMW ทุกรุ่นไม่เว้นแม้แต่รถในแบบ SUV แต่ก็มีคำถามจากคนขี้สงสัยหลายๆ คนที่อยากรู้ว่า เมื่อเพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่พ่วงท้ายรถ เพิ่มน้ำหนักเข้าไปในบอดี้รถจะทำให้ไดนามิกซ์บาลานซ์ 50-50 แบบฉบับของ BMW ที่ว่าหายไปหรือไม่ การทดสอบ BMW 330e สปอร์ตซีดานในแบบเวอร์ชั่นปลั๊กอิน เสียบปลั๊กเฉพาะรุ่นจึงถูกจัดขึ้นเพื่อตอบคำถามนี้
ตลอดคอร์สการทดสอบในสนามทดสอบมาตรฐานญี่ปุ่นที่ไทยบริดจสโตน จังหวัดสระบุรี ที่เป็นเสมือนห้องแล็บแบบปิด จำลองสถานการณ์ที่ไม่สามารถทำบนท้องถนนทั่วไปได้ ผมมีโอกาสได้รีดสมรรถนะความร้อนแรงของเจ้า 330e ผ่านหลากหลายสเตชั่น หรือสถานีทดสอบ ทั้งการเบรก การเบรกกะทันหันให้รถหยุดสนิท / เรียนรู้เทคนิคการแก้อาการของรถเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น อาการ Understeer หรืออาการ Oversteer หรืออาการท้ายปัดที่เกิดขึ้นได้จริงบนท้องถนน รวมไปถึงการขับขี่คุมรถในแบบดริฟท์เข้าโค้ง และขับซิกแซกผ่านไพล่อนแบบ Slalom และปิดท้ายด้วยการทดสอบแบบการแข่งขันจริง ในสถานีHotlap ที่ 330e ในเวอร์ชั่นปลั๊กอินนี้ก็ยังเร็ว แรง และทำให้รู้สึกดีเมื่อคุมรถหลังพวงมาลัย
ที่สำคัญคอร์สอบรมนี้ยังเป็นการได้กลับมารีเช็กเบสิกเริ่มต้นของการขับรถ คือเรื่องการปรับท่านั่งที่ถูกต้องในการขับรถทั้งตำแหน่ง ความสูงของเบาะนั่ง ระยะห่างของช่วงขาที่เหมาะสมในการเหยียบแป้นคันเร่งและเบรก ตำแหน่งของพวงมาลัย ที่เหมาะสม รวมถึงการวางมือจับกริปพวงมาลัยที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดเพราะด้วยความเคยชิน เมื่อเจอสถานการณฉุกเฉิน เบสิกเริ่มต้นที่ว่ามานี้เราเองยังทำได้ไม่ถูกต้อง 100% และได้มีโอกาสเรียนเทคนิคจาก Instructor ที่เป็นทีมนักแข่งมืออาชีพตัวจริงของทีม BMW รวมทั้งคุณครูใหม่แกะกล่อง คุณปุ๊ก-ชไมพร ปภัสรพงษ์ เซเล็บฯ ที่ถือเป็นความภาคภูมิใจของวงการรถยนต์ไทย เพราะถือเป็น Instructor หญิงคนแรกของ Asean
Did You Know?
เมื่อแบตเตอรี่ใน BMW 330e M Sport หมดสามารถชาร์จด้วยไฟบ้านให้เต็มได้โดยใช้เวลาราว 3 ชั่วโมง หรือเลือกเสริมประสิทธิภาพการชาร์จด้วยอุปกรณ์ บีเอ็มดับเบิลยู ไอ วอลล์บ็อกซ์ เพียว (BMW i Wallbox Pure) ที่ทั้งปลอดภัย ใช้งานง่าย และรวดเร็วด้วยกำลังไฟถึง 3.7 กิโลวัตต์ (16 แอมป์ / 230 โวลต์) จึงสามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ในเวลาที่น้อยกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง ทั้งนี้ แบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงดันสูงของ BMW 330e M Sport มีระยะเวลารับประกัน 6 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
About BMW Driving Experience 2017
กิจกรรม BMW Driving Experience 2017 กับรถยนต์ BMW 330e M Sport ในครั้งนี้อยู่ในโปรแกรม The Ultimate JOY Experience ที่นำเสนอกิจกรรมและสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย สำหรับเจ้าของรถยนต์ BMW สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.BMWultimateJOY.com