บีเอ็มดับเบิลยู พาร์ทส์ แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย บริษัทที่สี่ภายใต้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2564 ด้วยทุนจดทะเบียน 560 ล้านบาท เพื่อการขยายพอร์ตโฟลิโอรองรับการผลิตชิ้นส่วนสำหรับการประกอบมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ ๆ ภายใต้แบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด รวมถึงการลงทุนเพิ่มเติมในภูมิภาคอาเซียน เตรียมติดตั้งและนำเทคโนโลยีล้ำสมัยที่มีคุณภาพสูงในการผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่มาใช้เพื่อรองรับการประกอบมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ณ โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จังหวัดระยอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป
มร.คนุท โบลกแคร์ กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยู พาร์ทส์ แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย กล่าวว่า “การวาง ศิลาฤกษ์ครั้งนี้นับเป็นหนึ่งในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป และเป็นการก้าวสู่อีกขั้นของกลยุทธ์เพื่อรองรับการผลิตชิ้นส่วนสำหรับการประกอบมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ในอนาคต นอกจากนี้ ยังถือเป็นก้าวสำคัญของทั้งบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป และบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย โดยโรงงานแห่งนี้จะเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด แห่งแรกนอกประเทศเยอรมนี ซึ่งจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย และเครือข่ายการผลิตของบีเอ็มดับเบิลยู ทั้งยังจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขยายพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดในอนาคต รวมถึงการลงทุนเพิ่มเติมในภูมิภาคอาเซียน นอกจากจะช่วยเสริมความยืดหยุ่นให้กับเครือข่ายการผลิตในภาพรวมและยุทธศาสตร์อื่น ๆ ในอนาคตของเรา โรงงานแห่งใหม่นี้ยังตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยได้อย่างชัดเจนอีกด้วย”
บีเอ็มดับเบิลยู พาร์ทส์ แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับโรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จังหวัดระยอง และจะมีพื้นที่รวมโดยประมาณกว่า 11,000 ตารางเมตร ด้วยศักยภาพในการผลิตชิ้นส่วนหรืออะไหล่ที่ได้มาตรฐานมากกว่า 50,000 ชิ้นต่อปี และคาดว่าจะมีการขยายการจ้างงานราว 200 ตำแหน่งโดยมีเม็ดเงินการลงทุนจากบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป กว่า 2,350 ล้านบาท พิธีวางศิลาฤกษ์ของบีเอ็มดับเบิลยู พาร์ทส์ แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่มีต่อประเทศไทยในฐานะตลาดยุทธศาสตร์สำคัญ โดยระยะเวลาในการก่อสร้างอยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2564 – 2565 และคาดว่าจะสามารถเริ่มการผลิตได้ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566