เมอร์เซเดส-เบนซ์ ย้ำความมุ่งมั่นในการผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สู่ก้าวใหม่แห่งอนาคตของยานยนต์ไฟฟ้า

  • December 15, 2021

       เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) เน้นย้ำความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนโลกให้สะอาดขึ้นอย่างต่อเนื่องตามนโยบายระดับโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี และกลยุทธ์ในการก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวทั่วโลกภายในทศวรรษนี้ เริ่มต้นด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่น EQS รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบคันแรก พร้อมแผนการประกอบรถยนต์รุ่นนี้ในประเทศไทยภายใต้มาตรฐานการทำงานระดับโลกเพื่อเตรียมพร้อมจำหน่ายทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศในปี 2565 รวมถึงแผนการลงทุนด้านยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการดำเนินงานของโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทั้งรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ต่อยอดจากความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ PHEV ระดับลักชัวรีที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลายเซกเมนต์ที่สุด เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยก้าวไปในทิศทางเดียวกันกับเทรนด์ยานยนต์โลก

         มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ตามนโยบายระดับโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เราพร้อมเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวภายในทศวรรษนี้เพื่อก้าวสู่อนาคตที่ปราศจากมลพิษ โดยเรากำลังเปลี่ยนจากกลยุทธ์ไฟฟ้านำ(electric first) เป็น ไฟฟ้าเท่านั้น(electric only) และนับจากปี 2568 เป็นต้นไป รถยนต์ใหม่ที่เราจะเปิดตัวจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น โดยลูกค้าสามารถเลือกรถยนต์ไฟฟ้าได้จากทุกโมเดลที่เรามี ภายใต้โครงสร้างรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ 3 แบบ ได้แก่ MB.EA, AMG.EA และ VAN.EA นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย และจะสอดคล้องไปกับแผนบรรเทาสภาวะอากาศระยะยาวของรัฐบาลไทยที่ต้องการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ภายในปี 2593 และ 2608 ตามลำดับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้เลือกให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 7 ที่ตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่และโรงงานประกอบรถยนต์ที่เรามีทั่วโลก เพราะเรามั่นใจในศักยภาพของตลาด และเล็งเห็นความสำคัญของการถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมไปถึงการที่เรามีความตั้งใจที่จะทำงานร่วมกับภาครัฐในการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นปัจจัยหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศ ขณะเดียวกัน แรงงานไทยก็เป็นแรงงานที่มีฝีมือ การตั้งโรงงานประกอบรถยนต์และผลิตแบตเตอรี่ในไทยด้วยมาตรฐานการผลิต โดยเฉพาะมาตรฐานการทดสอบแบตเตอรี่ในระดับสูงสุด จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้เติบโตรุดหน้า ตอบรับเทรนด์ e-mobility ของโลก และยังประโยชน์ให้กับทั้งประเทศไทย ซัพพลายเออร์ไทย และคนไทยอย่างต่อเนื่องในอนาคต”

        แบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์มีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและยาวนานกับประเทศไทย ย้อนกลับไปไกลถึงปีพ.ศ. 2448 เมื่อมีรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์คันแรกเข้ามาในประเทศไทย ก่อนจะใกล้ชิดยิ่งขึ้นอีกเมื่อเมอร์เซเดส-เบนซ์จับมือกับบริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ ในฐานะผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2493 หรือกว่า 70 ปีมาแล้ว ปัจจุบัน หลังฉลองความสำเร็จของการประกอบรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศไทยครบ 100,000 คันไปตั้งแต่ปี 2559 เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้ริเริ่มให้มีโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ภายใต้การดูแลของบริษัท ธนบุรี เอ็นเนอร์ยี่ สตอเรจ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (TESM) ซึ่งเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ที่ได้รับอนุญาตจากเมอร์เซเดส-เบนซ์แต่เพียงผู้เดียว โดยโรงงานแห่งนี้ มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการผลิตแบตเตอรี่ทั้งสำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นต่าง ๆ อาทิ รุ่น C-Class, E-Class และ GLC รวมถึงรุ่น S 580 e ที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุด และแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์รุ่น EQS ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% คันแรกจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่จะมีการประกอบในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

        ทั้งนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ยังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการร่วมขับเคลื่อนยานยนต์สมัยใหม่ ภายใต้กรอบแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวและมลพิษต่ำ โดยความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง เพื่อผลักดันทิศทางของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน เมอร์เซเดส-เบนซ์ภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ด้วยเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมของประเทศ โดยไม่ได้มุ่งเน้นแต่เพียงแค่การขายรถยนต์แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมองถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศไทยด้วยการลงทุนผลิตรถยนต์และแบตเตอรี่ในประเทศ สนับสนุนการใช้ชิ้นส่วนในประเทศและส่งมอบโอกาสทางด้านความรู้ความเชี่ยวชาญให้กับแรงงานชาวไทย ซึ่งสามารถนำไปวิจัยต่อยอดให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมฯ ต่อไปได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากนโยบายและมาตรการที่เอื้อหนุนจูงใจให้เกิดการลงทุนในประเทศ ทั้งในแง่ของการสนับสนุนผู้ผลิตยานยนต์สมัยใหม่ การกระตุ้นความต้องการของตลาดยานยนต์ไฟฟ้า การวางแผนขยายจำนวนสถานีชาร์จ รวมถึงการสร้างโครงข่ายสนับสนุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิต และการวางแผนดำเนินงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน

 

เกี่ยวกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี

       เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นผู้รับผิดชอบธุรกิจทั่วโลกของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และรถตู้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยจำนวนพนักงานกว่า 173,000 คนทั่วโลก โดยมี โอล่า คัลเลนเนียส เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนา    ผลิต และจำหน่ายรถยนต์ รถตู้ และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้น ยังมีเจตนารมณ์ในการเป็นผู้นำของโลกในด้านการเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน ยานยนต์ไร้คนขับ และยานยนต์ทางเลือก โดยการใช้นวัตกรรมล้ำสมัยต่าง ๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกอบด้วยแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์  และแบรนด์ย่อย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี  เมอร์เซเดส-มายบัค  และเมอร์เซเดส-มี รวมทั้งแบรนด์สมาร์ท และแบรนด์อีคิว ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า  เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์โดยสารระดับพรีเมี่ยมรายใหญ่ที่สุดของโลก  ในปี 2563 บริษัทฯ จำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกือบ 2.4 ล้านคัน และรถตู้กว่า 438,000 คัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ขยายเครือข่ายการผลิตใน 2 กลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตกว่า 40 แห่งใน 4 ทวีป ควบคู่ไปกับแนวทางการพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการในด้านยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน บริษัทได้พัฒนาเครือข่ายการผลิตแบตเตอรี่ของตัวเองทั่วโลกใน 3 ทวีป การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนล้วนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งสองกลุ่มธุรกิจ สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ความยั่งยืนหมายถึงการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายในระยะยาว ทั้งลูกค้า พนักงาน นักลงทุน พันธมิตรทางธุรกิจ และสังคมโดยรวม โดยอาศัยพื้นฐานของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของเดมเลอร์ ซึ่งมุ่งรับผิดชอบต่อผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และสังคม จากกิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัท และให้ความสำคัญต่อห่วงโซ่คุณค่าโดยรวม