“มิงกะลาบา..เมียนมาร์” บันทึกรอยล้อ 3,000 กม. กับคาราวาน Nissan #GoAnywhere

  • May 08, 2019

     เป็นอีกหนึ่งการเดินทางในรูปแบบคาราวานรถยนต์ข้ามประเทศ บนเส้นทางที่ว่ากันว่ายังไม่ถูกค้นพบแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนับได้ว่ามีทิวทัศน์ที่สวยงามและการจราจรที่ไม่หนาแน่นบนเส้นทางทั้งหมดกว่า 3,000 กม. ที่ผู้ร่วมกิจกรรมได้มีโอกาสทดสอบขีดจำกัดของรถยนต์แต่ละรุ่นระหว่างการเดินทาง ที่มีกิจกรรมต่างๆ มากมายที่เข้าถึงได้ยาก แต่มีความน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดเส้นทางหนึ่งใน "เมียนมาร์" ประเทศน้องใหม่แห่งการท่องเที่ยวแห่งเอเชียเลยก็ว่าได้ครับ ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม ทำให้ท่องเที่ยวหันมาสนใจที่จะเดินทางมาเยือนดินแดนอันงดงามที่ผู้คนอัธยาศัยดีแห่งนี้มาก

 

บันทึกรอยล้อ ในแบบคาราวานรถยนต์ข้ามประเทศ 

      เมียนมาร์มีอะไรหลายๆ อย่างที่น่าสนใจครับ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่น้อยคนนักจะได้เห็น ซึ่งการเดินทาท่องเที่ยวในประเทศพม่ามีความลำบากค่อนข้างมากหากไม่มียานพาหนะเป็นของตัวเอง เนื่องจากระบบขนส่งระหว่างเมืองยังไม่ดีมากพอ และถนนหนทางยังเป็นเส้นทางที่เข้าถึงได้ยากมาก ซึ่งการทดสอบขับขี่ในเส้นทางที่แตกต่างกันนั้น ทางนิสสันก็ยกทัพจับ 3 รุ่นตัวฮ็อตมาครบ ทั้งนาวาร่า / เอ็กซ์เทรล / เทอร์ร่า เพื่อพิสูจน์ศักยภาพของนิสสัน 3 โมเดลตัวฮอต

 

         สำหรับกิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นด้วยแนวคิด “Nissan Intelligent Driving Experience (NIDE) Go Anywhere” เพื่อพิสูจน์ศักยภาพของรถกระบะอัจฉริยะอย่าง นาวารา แบล็ค เอดิชั่น ปี 2019 ใหม่ รถเอสยูวีอัจฉริยะสำหรับชีวิตในเมือง อย่าง เอ็กซ์เทรล ใหม่ และ เทอร์ร่า ใหม่ รถอเนกประสงค์อัจฉริยะแบบตัวถังบนแชสซีเพื่อทดสอบสมรรถนะการขับขี่บนเส้นทางที่ถูกกำหนดให้มีความแตกต่างกัน และท้าทายสมรรถนะของรถยนต์ทุกรุ่นอย่างเต็มที่ได้พาสื่อมวลชนสายยานยนต์เกือบ 100 ชีวิต ไปร่วมขบวนขับทดสอบ โดยผู้ร่วมกิจกรรมจะต้องสลับสับเปลี่ยนรถยนต์ที่ขับทุกวัน

     คาราวาน GO ANYWHERE ในครั้งนี้สื่อมวลชนได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกจะเริ่มต้นออกสตาร์ทจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าไปยังจังหวัดกาญจนบุรีในการขับขี่ทั้งในสภาพถนนที่ขรุขระ โดยเฉพาะเส้นทางเข้าสู่ด่านพรมแดน ณ บ้านพุน้ำร้อน เข้าสู่เมืองทวายที่มีระยะทางทุรกันดาร รวมทั้งเส้นทางขึ้นเขาลงเขาหลากหลายรูปแบบในประเทศเมียนมาร์ ไม่ว่าจะเป็นทางลาดยางในท้องถิ่นเมียนมาร์ที่เล็กแคบเป็นคลื่น มีผิวถนนที่ไม่สมบูรณ์ มีฝุ่นและเส้นทางเลาะขุนเขาในการข้ามเมือง

     เนื่องจากเมียนมาร์เป็นประเทศที่กำลังได้รับการพัฒนาด้านเส้นทางคมนาคมทั่วประเทศ มีการก่อสร้าง ซ่อมแซม ขยายถนนในเส้นทางต่างๆ ทำให้การขับขี่ทั้งเส้นทางในท้องถิ่นมีอุปสรรคมากยิ่งขึ้น ทั้งจากความไม่สมบูรณ์ของผิวถนน ฝุ่นลูกรัง โดยเฉพาะการเดินทางผ่านเข้าสู่เมืองมะละแหม่ง เมืองพะโค และบนเทือกเขาที่ลาดชันเลียบแม่น้ำสาละวิน เข้าสู่นครย่างกุ้ง ขณะที่กลุ่มที่สองขับจากนครย่างกุ้งสู่มัณฑะเลย์ และกลุ่มที่สามขับจากมัณฑะเลย์เข้าสู่จังหวัดเชียงรายตอนเหนือของประเทศไทย

 

ทริป 2 จากย่างกุ้งมุ่งสู่มัณฑะเลย์

             ประเทศพม่านั้นขับชิดขวานะครับ ถนนหลายๆ จุดมักมีการซ่อมแซม รวมถึงรถจักรยานยนต์นั้นมีค่อนข้างมาก จึงต้องใช้สัญญาณแตรให้เป็นประโยชน์ตลอดการเดินทาง ผมเองอยู่ในกลุ่มสื่อมวลชนทริปที่ 2 ที่ต้องขับจากนครย่างกุ้งมุ่งสู่มัณฑะเลย์ ระหว่างทางที่ขับรถจากย่างกุ้งเข้าสู่เมืองเนปิดอว์เป็นทางหลวงหลัก ระยะทางราว 600 กิโลเมตร ตัดผ่านพื้นที่เขตร้อนกลางประเทศพม่าแบบตรงๆ ยาวๆ และขับเป็นขบวนภายใต้ความเร็วที่กฎหมายพม่ากำหนดไว้คือ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำให้เราได้ทดลองใช้ระบบ Adaptive Cruise Control ที่ต้องยอมรับว่าช่วยให้เราสบายขึ้นอย่างมากสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ ความเร็วปรับขึ้น-ลงและเบรกตามรถคันหน้า ลดการเมื่อยล้าจากการต้องเหยียบคันเร่งสลับเบรกเป็นเวลานานๆ ได้

“เนปิดอว์” เมืองหลวงใหม่และถนน 10 เลน

        หากพูดถึงเมืองหลวงของพม่าหลายคนต้องคิดว่าเป็นย่างกุ้งแน่ๆ แต่จริงๆ แล้วพม่าได้มีการย้ายเมืองหลวงจากย่างกุ้งมาเป็นกรุงเนปิดอว์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 แล้วก็ได้มีการก่อสร้างจนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2551 แถมยังมีขนาดใหญ่มากชนิดที่ว่าใหญ่กว่าสิงคโปร์ถึง 10 เท่าเลย กรุงเนปิดอว์นั้นตั้งอยู่ตอนกลางของพม่าห่างจากย่างกุ้งประมาณ 385 กิโลเมตร โดยได้มีการแบ่งผังเมืองออกเป็น 4 โซนหลักๆ คือ โซนราชการ โซนโรงแรม โซนอุตสาหกรรมและโซนทหาร

 

        ถ้าจะไม่พูดถึงถนน 10 เลน (Highway Road) ก็คงไม่ได้ เพราะมันทั้งแปลกและไม่เหมือนที่ไหนจริงๆ ที่ใหญ่ชนิดที่ว่าเครื่องบินคงบินลงมาจอดได้เลย ซึ่งถนน 10 เลนนี้เองเป็นถนนซูเปอร์ไฮเวย์ของกรุงเนปิดอว์ และเหตุที่ถนนอันกว้างใหญ่เส้นนี้แลดูอ้างว้างก็เพราะว่าเมื่อครั้งที่รัฐบาลพม่าได้ย้ายเมืองหลวงมาที่นี่ ประชากรส่วนใหญ่กลับไม่ได้ย้ายตามมาด้วย จึงทำให้โล่งแบบนี้นี่เอง แต่เราก็คาดว่าในอนาคตคงจะรองรับรถยนต์มากขึ้นเพราะตอนนี้พม่าก็กำลังเจริญขึ้นเรื่อยๆ

 

เจดีย์อุปตสันติ

     เนื่องจากคนพม่านั้นเลื่อมใสและศรัทธาในศาสนาพุทธ การจะย้ายเมืองหลวงย่อมต้องสร้างสถานที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองไว้ด้วยนั่นก็คือเจดีย์อุปตสันตินั่นเอง

      เจดีย์อุปตสันติจำลองมาจากเจดีย์ชเวดากอง โดยรายละเอียดภายนอกเหมือนกันทุกประการ ความแตกต่างจะอยู่ที่ความสูงที่ต่ำกว่าและภายใน เนื่องจากตัวเจดีย์อุปตสันติเป็นเจดีย์ใหม่ไม่ได้มีพระธาตุหรือของสำคัญบรรจุไว้ด้านในนั่นเอง แต่ด้านในของเจดีย์อุปตสันติกับพระพุทธรูป 4 องค์หลัก บรรยากาศโดยรอบจะเห็นชาวพม่าต่างพากันมากราบไหว้บูชาพระพุทธรูปที่อยู่ด้านใน รวมถึงตักน้ำรดตามมุมต่างๆ รอบๆ ตัวเจดีย์

 

ชุมชนจากต้นตาล Sweet Palm Factory

        คนพม่านำเอาต้นตาลมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน รวมไปถึงการนำใบตาลมาทำเป็นหลังคาแทนหญ้าคาดังที่เห็นในเขตอื่นๆ ซึ่งที่ชุมชนนี้ได้ก่อตั้งเป็นกลุ่ม Sweet Palm Factory โดยนำเอาผลิตผลทางการเกษตรต่างๆ มาแปรรูปให้ได้เป็นสินค้าสุดธรรมชาติเช่น น้ำตาลโตนดแท้ๆ 100% รวมไปถึงน้ำมันจากถั่วลิสง และงาต่างๆ เนื่องที่ดินแถบนี้เป็นที่แห้งแล้งครับ ต้นไม้ส่วนใหญ่ที่ขึ้นได้ดีจึงเป็นต้นตาล

 

       การทำน้ำมันจากถั่วยังคงใช้วิธีการโบราณอยู่ครับ โดยการใช้แรงวัว บดถั่วจนได้น้ำมันออกมาตามรูระบาย ซึ่งน่าจะหาดูได้ยากมากๆ แล้วในปัจจุบัน และน้ำมันจากทีนี่คือธรรมชาติแท้ แน่นอน ซึ่งนอกจากน้ำตาลสดๆ หวานหอมแล้ว ที่นี่ยังมีน้ำตาลเมาด้วยนะครับ ซึ่งเจ้าน้ำตาลเมาก็คือการนำเอาน้ำตาลสดไปหมักเพิ่มจนมีแอลกอฮอล์ขึ้นมาเล็กน้อย เปลี่ยนน้ำตาลเป็นความเปรี้ยว ได้รสชาติแปลกใหม่ไปอีกแบบ อีกทั้งยังมีเหล้าขาวจากน้ำตาลให้ได้เลือกซื้ออีกด้วย

 

สถานีรถไฟโบราณ Bagan เอกลักษณ์พร้อมสถาปัตยกรรม

       ตั้งอยู่ในพื้นที่ชนบทประมาณ 5 กิโลเมตร จากเมืองพุกามเป็นอีกจุดที่ใครมาปักหมุดเช็คอินแล้วคงไม่พลาดการถ่ายรูป ด้วยความคลาสสิกของสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งและดึงดูดสายตาจากซุ้มประตูทางเข้าหลักไปยังตัวสถานีรถไฟเอง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางด้วยรถไฟที่อาจเดินทางไปทั่วประเทศพม่า ด้วยรถไฟปลายทางนี้ที่มีทั้งรถไฟมาจากมัณฑะเลย์ทางเหนือและย่างกุ้งทางใต้ แม้จะดูเก่าและคลาสสิกแค่ไหน แต่ที่เก๋คือในปัจจุบันสถานีรถไฟนี้ก็ยังเปิดให้บริการอยู่

 

พุกาม ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์

     เมียนมาร์นับได้ว่าเป็นดินแดนที่มีเจดีย์จำนวนมากมายมหาศาล จนน่าจะถือเป็นแชมป์โลกไปโดยไร้คู่แข่ง โดยเฉพาะที่เมืองพุกามทุ่งแห่งเจดีย์ พุกามเคยเป็นที่ตั้งอาณาจักรโบราณพุกาม ที่เป็นอาณาจักรแห่งแรกในประวัติศาสตร์พม่า พุกาม เป็นเมืองที่ยังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ทั้งๆ ที่มีคุณสมบัติเต็มพร้อม ปัจจุบันรัฐบาลทหารพม่ากำลังพยายามเร่งเสนอชื่อและเตรียมความพร้อมให้เป็นมรดกโลกทางศิลปวัฒนธรรมแห่งต่อไป

       พุกาม ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทะเลเจดีย์ หรือดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์ เพราะในสมัยรุ่งเรืองเคยมีเจดีย์มากมายถึง 4,446 องค์ แต่ช่วงหนึ่งนั้นเมืองพุกามได้ถูกทิ้งร้าง และโดนแผ่นดินไหวหลายครั้งทำให้ทุกวันนี้เหลือเจดีย์ให้เห็นชัดๆ เพียงปัจจุบันเหลือแค่เพียง 2,217 องค์

         ที่ทุ่งเจดีย์แห่งนี้จะสามารถสังเกตได้ชัดเจนระหว่างเจดีย์ที่ประชาชนเป็นผู้ก่อสร้างด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนากับเจดีย์ที่กษัตริย์เป็นผู้สร้างจากขนาด หากใหญ่โตหรือมีสีท้องด้วยแล้วเจดีย์เหล่านั้นถูกสร้างโดยกษัตริย์ครับ เช่น เจดีย์แห่งแรกของพุกามคือ เจดีย์ชเวซีโกน สร้างโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรพุกาม

 เมืองพุกาม จึงเป็นดินแดนที่มีความสำคัญด้านพุทธสถานอย่างหาที่เปรียบมิได้นั้น นับเป็นดินแดนอารยธรรมที่เปี่ยมไปด้วยพระเจดีย์และวัดวาอารมอันศักดิ์สิทธิ์และสวยงาม ที่ยังคงความขลังและความศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้มาเยือน

 

เจดีย์มิงกุน

     อีกหนึ่งความใหญ่โตอลังการงานสร้างในเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาร์ คงเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกเสียจาก เจดีย์ที่มีนามว่า “มิงกุน” ตั้งอยู่ที่เมืองซะไกง์ ที่ถือเป็นเมืองสำหรับผู้แสวงบุญโดยเฉพาะครับ โดยใครก็ตามที่อยากบวชและศึกษาพระธรรมตลอดชีวิตมักเดินทางมาบวชที่เมืองแห่งนั้น

      เจดีย์มิงกุน ตั้งอยู่ทางขวาของแม่น้ำอิรวดี แม่น้ำสายหลักของคนพม่า ความใหญ่โตนี้สร้างไม่เสร็จหรอกครับ  แต่ทั้งหมดเหลือไว้แค่เพียงหลักฐานและร่องรอยแห่งความทะเยอทะยานของพระเจ้าปดุง และเหลือเพียงเศษซากไว้ให้เราได้ชม เศษซากเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สร้างไม่เสร็จ และรอยแตกร้าวที่ฐานเกิดจากเหตุแผ่นดินไหวในปี พ.ศ. 2381

       สิงห์คู่ขนาดยักษ์ประดับอยู่ด้านหน้า ภายในวิหารมีพระพุทธรูปขนาดเล็กประดิษฐานอยู่ มองเห็นพุทธศาสนิกชนแวะเวียนเข้าไปกราบไหว้บูชา ขอพรจากองค์พระอยู่ไม่ขาดสาย ซึ่งจะมีพระสงฆ์คอยสวดมนต์อยู่ภายในวิหาร

         มิงกุน เป็นเจดีย์ที่สร้างไม่เสร็จเพราะงานก่อสร้างเจดีย์มิงกุนดำเนินไปได้เพียง 7 ปีเท่านั้น พระเจ้าปดุงเสด็จสวรรคตหลังจากที่ทรงพ่ายแพ้ไทยในศึก 9 ทัพ ส่วนมหาเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่ตามความมุ่งหวังของพระองค์จึงเสร็จเพียงแค่ฐาน ถึงกระนั้นก็ยังสูงถึง 50 เมตร หากพระเจดีย์สร้างเสร็จตามแผนคงจะเป็นเจดีย์ที่ใหญ่อลังการที่สุดและสูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงถึง 152 เมตรก็เป็นได้

 

เจดีย์ชินพิวเม ทัชมาฮาลแห่งลุ่มน้ำอิรวดี

 ถูกขนานนามว่าทัชมาฮาลแห่งลุ่มน้ำอิรวดี สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2359 โดยพระเจ้าบากะยีดอว์ พระราชนัดดาของพระเจ้าปดุง เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักต่อพระมหาเทวีชินพิวเม ซึ่งถึงแก่พิราลัยก่อนเวลาอันควร และเป็นเจดีย์ที่ออกแบบได้ขาวสวยเด่นเป็นเอกลักษณ์มากไม่มีคล้ายหรือซ้ำแบบที่ไหน คุ้มค่าที่ได้มาเห็นมากแม้จะแลดูโทรมๆ ไปบ้าง สร้างด้วยหลักจักรวาลสร้างให้องค์เจดีย์เป็นศูนย์กลางจักรวาลอยู่ตรงกลางเปรียบเป็นยอดเขาพระสุเมรุ ที่เชื่อกันว่าคือแกนกลางจักรวาล แล้วก็สร้างล้อมรอบด้วยสิ่งต่างๆ ที่ออกแบบด้วยหลักว่าให้เป็นขุนเขาเป็นมหาสมุทรตามหลักไตรภูมิ

 

AFTER DRIVE BY KAN YENSABAI

      แม้ส่วนตัวจะเคยมีประสบการณ์จากการเดินทางท่องเที่ยวในรูปแบบของคาราวานรถยนต์ในต่างประเทศมาแล้วหลายครั้ง แต่การเดินทางในทริปนี้ การได้พบปะผู้คน วิวถนนหนทาง พบปะชาวบ้านร้านถิ่นที่เป็นคนธรรมดา ทำมาหากินเป็นกิจวัตรประจำวัน ทำให้ได้เห็นเรื่องแปลกๆ ที่เราไม่มีโอกาสได้พบเห็นแม้จะท่องเที่ยวไปในลักษณะเดียวกันก็ตาม ทำให้ผมเองมีมุมมองต่อเมียนมาร์ในฐานะเพื่อนมิตรสหาย ที่แม้จะมีแป้งทานาคาเปื้อนหน้าและรอยยิ้มโชว์ฟันเปื้อนหมากแต่ก็ดูจริงใจ

       กับการเดินทางทดสอบด้วยรถ 3 โมเดลฮอตของนิสสันนี้ นับเป็นบทพิสูจน์เพื่อเน้นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีจาก นิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี (Nissan Intelligent Mobility) ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ (Intelligent Cruise Control) เทคโนโลยีเตือนเมื่อมีวัตถุอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Warning) เทคโนโลยีเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง (Lane Departure Warning) เทคโนโลยีช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning) และเทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert)

       ในทริปนี้ มีโอกาสได้ขับนิสสัน เอ็กซ์เทรล มากหน่อย ต้องขอบอกว่าจัดเป็น SUV หน้าตาหรู งานประกอบดี ขับเดินทางสบายนิ่มนวลคล้ายรถเก๋ง การเก็บเสียงทำได้ดีครับ ออพชั่นก็มีพอตัวสมกับรถในเซ็กเมนต์นี้ ทีสำคัญคือน่าสนใจในรูปแบบทางเลือกเครื่องยนต์ ทั้งในแบบธรรมดาและรักษ์โลก โดยรวมเป็นรถที่อยู่ในประเภทดีหนึ่งประเภทหนึ่งของ Nissan ครับ สุดท้ายต้องขอบคุณทีมงานทุกส่วนงานและทุกท่าน ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังที่สร้างสรรค์ทริปเดินทางดีๆ และให้เกียรติในการเชิญผมร่วมเดินทางในทริปนี้ครับ

 

 About  Myanmar

- การเข้าเยี่ยมชมโบราณสถานทุกแห่งของพม่านั้น ต้อง “ถอดรองเท้าและถุงเท้า”

- การกราบไหว้บูชาพระของคนพม่านั้น จะมีดอกบัวและดอกมะลิเป็นหลัก

- น้ำมันในเมียนมาร์ แบ่งเป็นดีเซล และเบนซินออกเทน 92,95 ราคาประมาณลิตรล่ะ 20-22 บาท