Honda Accord 1.5 Turbo EL ครั้งแรกของ D-Segment เครื่องยนต์เล็กในรถใหญ่ แต่มีเซอร์ไพรส์ที่ความแรง!!

  • June 17, 2019

      บนเส้นทางจากตัวเมือง มุ่งหน้าสู่ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ รวมระยะทางกว่า 172 กิโลเมตร ที่ทางฮอนด้า ออโตโมบิล เชิญผมรวมทั้งสื่อมวลชนสายรถยนต์ท่านอื่นๆ เข้าร่วมทดสอบสมรรถนะการขับขี่ของ ฮอนด้า แอคคอร์ด ใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 10 ในแบบสปอร์ตพรีเมี่ยมซีดาน เบนซิน 1.5 พ่วงเทอร์โบ

 

      แน่นอนว่า ฮอนด้า แอคคอร์ด นับตั้งแต่เจนเนอเรชั่นที่1-9 นับเป็นโมเดลรถยนต์ที่สำคัญรุ่นหนึ่งของฮอนด้า และที่สำคัญได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้าทั่วโลก รวมถึงลูกค้าชาวไทย และได้ทำการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ฮอนด้า แอคคอร์ด เป็นรถยนต์ที่เป็นผู้นำในการนำเทคโนโลยียนตกรรมใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดเพื่อต่อยอดการพัฒนายนตกรรมเสมอมา

      เกริ่นกันอีกสักนิด สำหรับในโฉม Honda Accord 2019 นี้ ทางฮอนด้าเองยังวางให้รถอยู่ในกลุ่มสปอร์ตพรีเมี่ยมซีดาน ซึ่งมีทางเลือกในเครื่องยนต์ให้เลือกถึง 3 รุ่นย่อย ทั้งในโฉมเครื่องยนต์แบบไฮบริด 2.0 ลิตร ทั้งในรุ่น Hybrid และ Hybrid Tech รวมถึงรุ่นย่อยในเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.5 ลิตร ซึ่งน่าตื่นเต้นเพราะนับเป็นครั้งแรกในกลุ่มรถพิกัด D-Segment ที่วางเครื่องยนต์ไซซ์นี้

 

ดีไซน์ภายนอกและห้องโดยสาร สปอร์ต หรูหรา และทันสมัยขึ้นเหมือนกับเวอร์ชั่นตลาดโลก

    การออกแบบตัวรถที่ให้ความหรูหราสง่างามกับความสปอร์ตไว้อย่างลงตัว ผ่านการออกแบบที่เรียบหรูแต่ประณีตในทุกรายละเอียด ผ่านสีทางเลือกทั้งหมด 4 สี คือ สีเงิน สีเทา สีดำ และสียอดนิยมในยุคนี้อย่างสีขาว

       ด้วยเส้นสายที่ปราดเปรียวและเฉียบคมสะท้อนความสปอร์ตพรีเมี่ยม ด้วยกระจังหน้าสไตล์ใหม่ แบบโครเมี่ยมที่เชื่อมต่อกับไฟหน้าพร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน (Daytime Running Lights) แบบ LED โดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยไฟท้ายดีไซน์ใหม่แบบ LED รูปทรงคล้ายตัว C ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของ ฮอนด้า แอคคอร์ด ใหม่ ไว้ได้อย่างชัดเจน พร้อมด้วยล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่สไตล์สปอร์ตขนาด 17 นิ้ว ในรุ่นย่อยเทอร์โบ

 

      ส่วนในห้องโดยสารใช้โครงสร้างเส้นสายในแนวนอน เพื่อทำให้บริเวณคอนโซลกลางโปร่งโล่ง และส่งผลให้มีพื้นที่ช่วงขามากขึ้น เบาะหนังและชุดตกแต่งภายในลายไม้ที่มาพร้อมเอกลักษณ์แห่งความหรูหรา ครบครันด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานในทุกการเดินทาง ทั้งเบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมปุ่มปรับดันหลัง ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งของผู้ขับขี่ (Memory Seat) พร้อมเลื่อนอัตโนมัติเวลาขึ้น-ลงรถ ปุ่มปรับเบาะไฟฟ้าข้างพนักพิงเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังสามารถพับได้

      มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่ม รับ-วางสายโทรศัพท์ เพื่อรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI

 

เครื่องยนต์พิกัด 1.5 ลิตร Di VTEC Turbo 190 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT

       ในเรื่องของขุมพลังเครื่องยนต์ สิ่งที่ทางฮอนด้าต้องการจะสื่อสารเป็นหลักก็คือ การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการลดพิกัดความจุของตัวเครื่องยนต์ลง แต่เพิ่มในเรื่องของสมรรถนะและความประหยัดที่มากขึ้น ที่เรียกว่าเทคโนโลยีการ Downsizing Engine ที่มี ที่เด็ดที่แม้พิกัดเครื่องยนต์จะเล็ก แต่ในเรื่องกำลังและความแรงไม่ได้เล็กตาม

       ในทริปทดสอบในครั้งนี้ รถทั้งหมด 4 คัน จะเป็นรุ่นย่อยเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร Di VTEC TURBO ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ตอบสนองได้ทันใจด้วยแรงบิด 243 นิวตัน-เมตร จากเทคโนโลยีไดเรกต์อินเจกชั่น (Direct Injection) ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรงและเทอร์โบชาร์จเจอร์ (Turbocharger) ที่ช่วยอัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้เครื่องยนต์ได้เร็วขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ได้อย่างรวดเร็ว ประสานการทำงานกับระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT) ที่พัฒนาภายใต้เทคโนโลยี Earth Dream สำหรับทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ในแบบเทอร์โบโดยเฉพาะ ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลังกว่าเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร และให้อัตราการประหยัดน้ำมันที่ 16.4 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งดีกว่าเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตรในรุ่นเดิม โดยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและรองรับน้ำมันในเกรด E 85 ได้

       และยังมาพร้อมโหมดการขับขี่แบบสปอร์ต (Sport Drive Mode) ที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าถึงอารมณ์สปอร์ต ตอบสนองอัตราเร่งได้อย่างเร้าใจยิ่งขึ้น สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดายเพียงกดปุ่ม SPORT ที่อยู่บริเวณด้านล่างของคันเกียร์ โดยสัญลักษณ์ SPORT จะแสดงขึ้นบนมาตรวัดในขณะที่ใช้ระบบ อีกทั้ง ECON Mode ระบบที่ช่วยลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลือง โดยจะปรับการทำงานของเครื่องยนต์และระบบเกียร์ให้สัมพันธ์กัน

         ส่วนในตัวเครื่องยนต์ Hybrid ขนาด 2.0 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า2 ตัว และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ให้กำลังสูงสุดทั้งระบบได้ถึง 215 แรงม้า ที่แม้เปิดราคาเป็นทางการมาแล้ว แต่ตัวรถคันจริงยังไม่มีจำหน่ายและทดสอบ ซึ่งคาดว่าน่าจะเปิดตัวและมีรถให้ได้ทดสอบอยู่ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมปีนี้

 

เทคโนโลยีความปลอดภัย มีพอตัวแต่ไม่มีระบบ Honda Sensing เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

        ในเวอร์ชั่นแบบ 1.5 เทอร์โบ อุปกรณ์มาตรฐานไล่เรียงดูก็มีมาให้เรียกว่าจัดหนักทั้งในส่วนของในห้องโดยสาร และในเรื่องเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับ ทางฮอนด้า ติดตั้งทั้งระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) และระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Attention Monitor) ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน รวมถึงระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) ระบบ Auto Brake Hold และถุงลม 6 ตำแหน่ง เพื่อความมั่นใจในทุกการขับขี่ แต่จะไม่มีระบบHonda Sensing ที่ทางฮอนด้าแจ้งว่าจะมีอยู่ในเฉพาะโฉมเวอร์ชั่นเครื่องยนต์แบบ Hybrid เท่านั้น

 

โหมดทดสอบสมรรถนะ จากตัวเมืองเชียงใหม่ มุ่งหน้าสู่อำเภอดอยสะเก็ด

       ก่อนเริ่มกิจกรรมทดสอบสมรรถนะ ฮอนด้า แอคคอร์ด ใหม่ รุ่นเทอร์โบ ได้รับฟังข้อมูลและรายละเอียดของฮอนด้า แอคคอร์ด ใหม่ รุ่นเทอร์โบ โฉมนี้ จาก มร.เท็ตซึยะ มิยาฮะระ หัวหน้าทีมวิศวกรผู้พัฒนา ฮอนด้า แอคคอร์ด ใหม่ บริษัท ฮอนด้า อาร์แอนด์ดี จำกัด ประเทศญี่ปุ่น

      โดยระหว่างเส้นทางการทดสอบขับ ฮอนด้า แอคคอร์ด ใหม่ รุ่นเทอร์โบ บนเส้นทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ มุ่งหน้าสู่อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ได้สัมผัสกับประสบการณ์การขับขี่ที่หลากหลาย ทั้งจากการวิ่งทดลองใช้งานในเมือง รวมถึงถนนทางโค้ง ทางตรง และทางขึ้น-ลงเนินเขา ตลอดเส้นทางธรรมชาติ และได้สัมผัสกับขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Di VTEC TURBO ที่ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลังกว่าเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร และให้อัตราการประหยัดน้ำมันที่ 16.4 กิโลเมตร

        นอกจากนี้ สื่อมวลชนยังจะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีด้านการขับขี่ อาทิ ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) รวมถึงโหมดการขับขี่แบบสปอร์ต (Sport Drive Mode) ที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าถึงอารมณ์สปอร์ตได้อย่างแท้จริงในรถแบบซีดาน

 

AFTER DRIVE BY KAN YENSABAI

       ฮอนด้า แอคคอร์ด ในเจเนอเรชั่นที่ 10 นี้  ในเรื่องการออกแบบยังเป็นรถที่ถ่ายทอด DNA ความหรูจากรุ่นสู่รุ่นมาได้ดีครับ ในรูปลักษณ์แบบใหม่ที่ดูหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวขึ้น ในดีไซน์รถซีดานแบบสไตล์ท้ายลาด ดูมีความเป็นยุโรปนิดๆ

ในเวอร์ชั่นนี้หลายๆ คนจับตามองและรอคอยตั้งแต่ก่อนเปิดตัว เพราะด้วยความใหม่ของเครื่องยนต์ที่จะประจำการเป็นขุมพลัง ทั้งในตัว 2.0 แบบไฮบริด รวมถึงในตัว1.5 เบนซินพ่วง เทอร์โบ

       แน่นอนว่าคำถามยอดฮิตคือ เครื่องยนต์ไซซ์เล็กแบบนี้มันจะไปกันได้ดีแค่ไหนกับตัวถังซีดานแบบแอคคอร์ดจะแบกน้ำหนักไหวหรือเปล่า? และอีกคำถามคือ เครื่องยนต์บล็อคนี้เป็นเครื่องตัวเดียวกันไหม กับในตัวโมเดลซีวิค เทอร์โบ

      ขอตอบในเรื่องบล็อคเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 เทอร์โบ ของทั้ง 2 โมเดลนี้จริงๆ แล้วเป็นเครื่องบล็อคเดียวกัน มีขนาดเท่ากันแต่ใช้รหัสคนละตัวครับ ในซีวิค 1.5 จะเป็นเครื่องยนต์รหัส L15B7 ส่วนในตัวโฉมของแอคคอร์ด เจนฯ 10 นี้ จะเป็นเครื่องยนต์เบนซินรหัส L15BG

      เหตุผลเพราะมีความต่างกันในสเปกและองค์ประกอบเครื่องยนต์หลายจุดครับ ทั้งในเรื่องลูกสูบ ฝาสูบ ตัวเทอร์โบ แรงดันบูสต์ที่เป็นรายละเอียดทางวิศวกรรมเครื่องยนต์ แต่โดยรวมเครื่องยนต์ของแอคคอร์ดใหม่ จะมีแรงม้ามากกว่า 17 ตัว และแรงบิดมากกว่าที่ 23 นิวตัน-เมตร

      ส่วนคำถามที่หลายคนอาจสงสัยว่า ลองขับจริงๆ จะแบกร่างไหวมั้ย? ขอตอบแบบตรงๆ ว่าไม่รู้สึกเลยว่าแบก เพราะเท่าที่ได้สัมผัสฟีลลิ่งการขับต้องขอบอกว่าขับได้สนุกครับ ถือเป็นรถที่ให้ฟีลกระฉับกระเฉง แม้เครื่องยนต์พิกัดเล็ก แต่ให้อัตราเร่งและกำลังที่ดีทั้งในรอบต้นและรอบปลาย และแอบมีแรงดึงเบาๆ ในการเทคทะยานตัวเมื่อต้องเร่งแซงก็ทำได้ในแบบมั่นใจ เป็นเครื่องยนต์ที่ไปกันได้ดีในแอคคอร์ด

      น้ำหนักพวงมาลัยก็อยู่ในเกณฑ์ดี คุมง่ายและทำงานได้คม ส่วนระบบช่วงล่างก็หนึบเกาะถนน แต่นั่งได้สบายไม่ถึงกระด้าง เดินทางไกล นุ่มนวลสบายใจได้

      โดยรวมเป็นแอคคอร์ด ในเวอร์ชั่นที่สอบผ่านในแง่ของการพัฒนาเครื่องยนต์เล็ก แต่สามารถพาบอดี้ร่างใหญ่ไปได้ชนิดที่ทำได้ดี ด้านความสะดวกสบายในห้องโดยสาร ก็ยังทำได้ดีทั้งความสวยงามและฟังค์ชั่นการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ในรถ

        ส่วนที่จะติดใจก็มีอยู่เรื่องเดียว เพราะถ้าเทียบกับราคาค่าตัว 1,475,000 บาท ถ้าไม่ตัดในเรื่องเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะทั้งหลายทั้งปวง จุดขายที่เรียกว่า Honda Sensing ที่จะมีเฉพาะในรุ่น HYBRID และ HYBRID TECH ออกไป ตัวรถคันนี้คงจะน่าสนใจกว่านี้มิใช่น้อยครับ...