ชาร์จไฟครั้งเดียว เที่ยวทั่วกรุง!! Nissan Leaf ในแบบพลังไฟฟ้า 100% อนาคตที่มาไม่เร็วเกินไป ถ้าใจคุณพร้อม!!

  • July 26, 2019

      นับเป็นอีกครั้งที่ทาง บริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้เชิญสื่อมวลชนหลายแขนงมาร่วมสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ของยานยนต์แห่งอนาคต ที่จะฉีกรูปแบบเดิมๆ ของการเดินทาง และชีวิตประจำวันของคนใช้รถใช้ถนนให้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

 

       ใช่ครับ.. รถยนต์คันนี้มันคือ รถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน 100% หรือที่เราเรียกกันว่า รถ EV (Electric Vehicle) จากค่าย Nissan รุ่นใหม่ล่าสุด Nissan Leaf นั่นเอง ซึ่งทาง C max Car ก็ไม่พลาดที่จะคว้าโอกาสนี้ไปลองของจริงแบบจะๆ และนำมาเล่าให้คุณผู้อ่านได้ฟังกัน

     โจทย์หลักของทาง Nissan ให้ไว้กับสื่อมวลชนผู้ร่วมทดสอบคือ ชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง วิ่งได้ตลอดวัน ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มันจะเป็นไปได้รึ ? โดยกิจกรรมทดสอบนี้จัดขึ้น ณ จีแลนด์ พระราม 9 นำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการออกแบบของ นิสสัน ลีฟ ใหม่ ระบบขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้า และรูปแบบการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 3 แบบ

     โดยในงานจัดสรรพื้นที่เป็น 4 โซน ประกอบด้วย นิสสัน ลีฟ Simply Amazing นิสสัน อิเล็คทริค คาเฟ่ บูธถ่ายภาพ นิสสัน อิเล็คทริค และสถานีชาร์จนิสสัน ลีฟ

      คุณราเมช นาราสิมัน ประธาน นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ที่ให้เกียรติ มาร่วมในกิจกรรมครั้งนี้ บอกว่า การทดสอบ นิสสัน ลีฟ ใหม่ ครั้งนี้จะเป็นช่วยเพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า ให้ความมั่นใจกับลูกค้าที่ต้องการเป็นเจ้าของนิสสัน ลีฟ ใหม่ ว่าพวกเขาสามารถใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้ตลอดวันด้วยความมั่นใจ และมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับระบบนิเวศของการชาร์จไฟฟ้าในประเทศไทย

 


       "การทดสอบขับนิสสัน ลีฟ ใหม่ ที่จัดขึ้นอย่างพิเศษในประเทศไทยครั้งนี้ รวมถึงโซน 'rEVolution education' ช่วยให้สื่อมวลชนร่วมปฏิวัติประสบการณ์รถยนต์ไฟฟ้าที่น่าตื่นเต้นและอย่างสมบูรณ์แบบ" ราเมช กล่าวเสริม

      “การทดสอบแต่ละช่วง พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าลีฟ ใหม่ สามารถขับขี่บนสภาพท้องถนนที่หลากหลายในเมืองอย่างกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ลีฟ ใหม่ ใช้เวลาเพียงชั่วข้ามคืนในการชาร์จจากที่อยู่อาศัย ก็ให้ความสะดวกสบายจากการขับขี่ตลอดทั้งวัน”

    กิจกรรมนี้เป็นการทดสอบขับขี่อย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย ของนิสสัน ลีฟ ใหม่ ภายใต้แนวคิด “เรียบง่ายอย่างอัศจรรย์ หรือ Simply Amazing” โดยมีธีมงานที่ชื่อว่า ‘rEVolution’

 

โดดเด่นด้วยระบบแป้นคันเร่งอัจฉริยะ e-Pedal Technology

      โดยการทดสอบครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน เริ่มจากการทดสอบสมรรถนะอย่างเต็มรูปแบบบนพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ จากนั้นจึงมุ่งหน้าสู่การทดสอบตามสภาพการจราจรจริงของกรุงเทพฯ เพื่อเดินทางสู่อำเภอ นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ซึ่งจากฐานแรก เป็นการทดสอบการขับขี่แบบ Gymkhana บนลานกว้าง G Land พระราม 9 ที่ถูกเนรมิตขึ้นเป็นสนามแข่งย่อมๆ โดยให้สื่อมวลชนแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ผลัดกันขับครั้งละ 2 คัน กติกาหลักสำคัญคือ ผู้ทดสอบจะต้องใช้ฟังก์ชั่นการขับขี่ที่เรียกว่า “e -Pedal” ที่สามารถใช้ควบคุมความเร็วรถทั้งการเร่ง และเบรกด้วยคันเร่งเพียงอย่างเดียวเพียงเท่านั้น ห้ามยกเท้าขึ้นแตะเบรก มิฉะนั้นจะต้องถูกหักคะแนน และใครทำเวลาได้ดีที่สุดและไม่ชน Pylons ก็จะคว้าชัยไป แน่นอน เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ว่าจะคุ้นชินกันได้ง่ายๆ แต่จากที่ได้ลองซ้อมถึง 2 รอบสนามและเอาจริง 1 รอบ พบว่า e-Pedal ทำงานได้จริง เพียงแค่รู้จังหวะยกเท้า ความเร็วก็จะลดลง และในการทดสอบการหักเลี้ยวกะทันหัน ผู้เขียนยังพบว่า พวงมาลัยของเจ้า Nissan Leaf นั้น ทั้งคมคายและแม่นยำ รวมไปถึงอัตราเร่งของรถไฟฟ้าล้วนนั้น ทำเอาอ้าปากค้าง หลังติดเบาะได้ง่ายๆ ขัดกับรูปร่างหน้าตาภายนอกอันแลดูเชื่องเหมือนแมวนอนหวดของมันเหลือเกิน...

 

อัตราเร่งดีในแบบ e-powertrain ไม่ง้อน้ำมัน

        เมื่อมาดูถึงสเปกของเจ้ารถยนต์พลังไฟฟ้า นิสสัน ลีฟ ใหม่ จึงได้พบว่า มีระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า (e-powertrain) ขนาดความจุ 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) มีกำลังเครื่องยนต์สูงสุด 110 กิโลวัตต์ (kW) และแรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่งที่ดีขึ้น จาก 0 ถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 7.9 วินาที เมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% สามารถขับขี่ได้ระยะทางสูงสุดถึง 311 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน NEDC (New European Driving Cycle) ก็ชักเริ่มหายข้องใจไปเปลาะหนึ่งในเรื่องความแรง แต่ยังคงติดใจสงสัยเรื่องของการใช้งานบนท้องถนนจริง และความจุของแบตเตอรี่ ว่ามันจะต้องไปตายกลางทางกินข้าวลิงหน้าปั๊มน้ำมันให้คนหัวเราะเยาะเล่นหรือไม่ จะไปขอ Powerbank คนไหนยืมชาร์จก็คงจะไฟไม่พอเป็นแน่แท้
        หลังจากพักรับประทานอาหารเที่ยงหลังการทดสอบในช่วงเช้า พักให้ข้าวเรียงเม็ดตามอัธยาศัยสักครู่ พิธีกรในสนามก็ได้จับคู่แบ่งรถให้สื่อมวลชนได้ลองขับทางไกลกัน ท่ามกลางสภาพการจราจรยามบ่ายของกลางกรุงเทพมหานครซึ่งแสนจะสะดวกโยธิน โดยรถทดสอบจะถูกชาร์จแบตไว้เต็ม 100% และผู้ทดสอบจะต้องวิ่งไป 5 จุดทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยจุดที่ไกลที่สุดคือ ร้านกาแฟ Riva Floating Café ริมแม่น้ำนครชัยศรี รองลงมาก็จะเป็นสถานที่เที่ยวสุดชิคอย่าง ช่างชุ่ย และอีก 3 จุดที่เหลือคือใจกลางกรุงอย่าง สถานีดับเพลิงเก่าบางรัก, สยามสแควร์ และชั้นดาดฟ้าของห้าง Fortune Town ซึ่งสถานีนี้จะมีภารกิจย่อยของการใช้ฟังก์ชั่น e Padle เพื่อเพิ่มคะแนนพิเศษให้แต่ละทีมทดสอบด้วย โดยผู้ทดสอบสามารถเลือกจุดสตาร์ทของตนเองได้ตามใจ ไม่บังคับ แล้วแต่การวางแผนของแต่ละทีม ใครที่เก็บครบทุกสถานีและทำเวลาได้ดี เมื่อนำมารวมคะแนนกับช่วงเช้า ทีมนั้นก็จะเป็นผู้ชนะไป
        ผู้เขียนกับเพื่อนสื่อมวลชนที่ร่วมทางกัน เห็นตรงกันว่า เราจะไปเก็บจุดที่ไกลที่สุดก่อน คือร้าน Riva Floating Café นครชัยศรี เพราะเส้นทางนี้จะมีโอกาสได้ขึ้นทางด่วนโล่งๆ วิ่งยาวๆ เพื่อทดสอบ ประสิทธิภาพของเจ้า Nissan Leaf ได้อย่างเต็มที่ ระหว่างที่ฝ่าการจราจรไปขึ้นทางด่วน เราพบว่า เสียงภายในห้องโดยสารเงียบสนิทจนเหงา จริงๆ เอะใจมาตั้งแต่กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ (ไม่สิ..สตาร์ทรถเฉยๆ มันไม่มีเครื่องยนต์!!) เพราะมันไม่มีการสั่นสะท้านเข้ามาในห้องโดยสารให้เรารับรู้ว่า รถยนต์ติดเครื่องแล้วนะ เหมือนกับที่เราใช้รถยนต์พลังงานสันดาปอย่างที่เราคุ้นชินกัน มีเพียงหน้าจอแสดงผลแบบ Multi-information ด้านซ้าย หน้าจอสีแบบ Thin-film Transistor (TFT) ขนาด 7 นิ้ว บอกปริมาณกำลังไฟฟ้าที่ใช้ตามการกำหนดค่ามาตรฐาน โดยคนขับสามารถเลือกแสดงข้อมูลตามที่ต้องการ หน้าจอแสดงผลตรงกลางแบบ Flush-surface ช่วยให้ผู้ขับขี่สะดวกต่อการเลือกระบบความบันเทิง รวมทั้งแสดงให้เห็นการทำงานของเทคโนโลยี Safety Shield ระดับการชาร์จไฟของรถ และพลังงานที่เหลืออยู่ รวมถึงระบบเสียง และข้อมูลระบบนำทางที่ติดขึ้นมาให้เรารับรู้ว่า รถพร้อมจะเดินทางไปกับเราแล้วนะ ลุยกันเลย!!

 

จัดเต็ม..เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่

      พอหลุดขึ้นทางด่วนมาได้ เราก็ลองเหยียบคันเร่งอย่างรวดเร็ว แรงดึงมาอย่างทันใจแบบไม่ต้องรอรอบเหมือนรถสันดาป มันเร็วและมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลังติดเบาะกันแบบง่ายๆ จนความเร็วเริ่มจะเกินกฎหมายกำหนด จึงลดความทะยานอยากซิ่งของเราลงมาทั้งที่ดูแล้วมันยังขึ้นไปได้ต่อแน่ๆ ถึงตรงนี้เราสัมผัสได้ถึงช่วงล่างที่เซ็ตออกมาแนวสปอร์ต นุ่มหนึบ ไม่มีอาการแกว่งให้น่าหวาดเสียวแต่อย่างใด เพียงแต่สังเกตว่า เบรกของคันที่ทดสอบอาจจะลึกไปนิด ทำให้จับจังหวะเบรกยากไปสักหน่อย แต่อาจจะเป็นเฉพาะคันที่ทดสอบก็เป็นได้ และเมื่อลงมาจากทางด่วนมาใช้เส้นทางราบด้านล่าง ก็ได้เจอการจราจรหนาแน่นอีกครั้ง มีจังหวะหนึ่งที่เราขับรถใกล้คันหน้าซึ่งทำการเบรกค่อนข้างกระชั้นชิด ก็มีเสียงเตือนมาจากในรถและทำการช่วยลดความเร็วแบบฉุกเฉินให้ เพราะเจ้า Nissan Leaf มาพร้อมกับเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะมากมาย ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ เพิ่มความปลอดภัย และลดความเครียดจากการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์ด้านหน้าขณะขับขี่ (Forward Collision Warning) เทคโนโลยีเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Forward Emergency Braking) เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor) พร้อมด้วยเทคโนโลยีเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (Moving Object Detection) และเทคโนโลยีช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Driver Alert Assist) เราจึงมั่นใจในการขับขี่ครั้งนี้ขึ้นอีกมากโข แต่ก็ไม่ได้ประมาท เพราะระบบเหล่านี้มีไว้ช่วยเหลือ ไม่ใช่ยับยั้ง สติและสมาธิของผู้ขับขี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือระบบทั้งหลายทั้งมวลอยู่ดี...

 

       เมื่อถึงจุดจอดแรก เราแวะชักภาพและดื่มกาแฟที่ร้าน Riva Floating Café กันสักชั่วอึดใจ แล้วจึงเดินทางต่อไปยังช่างชุ่ย ถึงตอนนี้การจราจรเริ่มจะไม่คล่องตัว แต่การเร่งแซงหรือซอกแซกบนท้องถนนก็ยังทำได้สะดวกสบายไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อย ด้วยพละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าส่งมาอย่างทันใจ คนขับก็ได้แต่เหยียบและชมวิวกันเพลินไปเท่านั้น อึดใจเดียวเราก็มาถึงช่างชุ่ย จอดรถแวะเช็คอินรับขนมขบเคี้ยวแบบโบราณไปกินกันต่อบนรถเสร็จก็ออกเดินทาง โดยเส้นทางต่อจากนี้ผู้เขียนอาสารับหน้าที่เป็นสารถีขับเข้าสู่ตัวเมืองเอง เพราะต้องการจะรู้ว่า การใช้ e Pedal ในขณะรถติดนั้น มันช่วยให้การขับขี่มันง่ายและสะดวกสบายมากแค่ไหน จากช่างชุ่ยเราเดินทางต่อไปยังสถานีดับเพลิงเก่าบางรัก มุ่งหน้าสู่สะพานตากสิน ซึ่งดูเวลา ณ ตอนนั้นกำลังใกล้จะสี่โมงเย็นเต็มที ผมกดสวิตช์ไปที่โหมดการขับขี่แบบ Eco และใช้ e Pedal ซึ่งทางนิสสันบอกว่า จะช่วยเซฟพลังงานจากแบตเตอรี่ให้ระยะทางการวิ่งยืดออกไปได้ไกลขึ้นอีก ผมเหลือบดูหน้าจอ Multi Information สถานการใช้พลังงานแบตเตอรี่แจ้งว่า เหลือแบตเตอรี่อยู่ 50% อาจเป็นเพราะช่วงแรกเราซิ่งกันไปหน่อย เปิดแอร์แรงไปนิด ทำให้สูบแบตพอสมควร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร เพราะหน้าจอบอกระยะทางที่ยังวิ่งได้อีกร่วม 110 กิโลเมตร จนกว่าจะถึงรอบชาร์จครั้งต่อไป โอ้ย! สบาย

      ขณะที่ขับนั้น ผู้เขียนก็พยายามจับจังหวะการใช้ e Pedal ให้นุ่มนวลเป็นธรรมชาติที่สุด ไม่เบรกหัวทิ่มให้ผู้โดยสารกล่าวสรรเสริญบรรพบุรุษเล่น จึงพอจะจับเคล็ดได้ว่า ให้ค่อยๆ ถอนเท้าอย่างต่อเนื่องและนุ่มนวล ไม่ยกขึ้นทันทีทันใด ก็จะไม่มีอาการหัวทิ่ม แต่จะทำให้เราขับรถได้สบายมากขึ้น เพราะไม่ต้องยกเท้าสลับไปแตะเบรกอีกเลย แม้กระทั่งตอนรถติดบนคอสะพาน ผมก็ไม่ต้องเหยียบเบรกเลยแม้แต่นิด แค่ปล่อยคันเร่ง รถก็จอดนิ่งสนิท และพอรถข้างหน้าเคลื่อนตัว เราก็แค่เหยียบเติมคันเร่งไปเบาๆ รถก็เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างนุ่มนวล ตลอด 2 ชั่วโมงที่ขับในเมือง ผมขับได้อย่างสบายจนรู้สึกติดใจกับระบบนี้เข้าให้ซะแล้ว มันมีประโยชน์มากๆ ในการขับขี่ฝ่ามหันตภัยรถติดในกรุงเทพฯ เสียจริงๆ เจ้า e Pedal เนี่ย....
       ถึงบางรักแวะเช็คอินรับโรตีอร่อยๆ มากิน ก็ลัดเลาะไปสู่สยามเซ็นเตอร์จุดหมายต่อไป แอร์เย็นๆ เพลงเพราะๆ ห้องโดยสารที่เงียบสนิท ช่วยบรรเทาความน่าอึดอัดของการจราจรลงไปได้เยอะ

 

รูปลักษณ์สปอร์ต โฉบเฉี่ยว ในแบบแฮทช์แบ็ครักษ์โลก

      ด้วยรูปทรงของรถที่ออกแนวสปอร์ต 5 ประตู หลังคาสีดำตัดกับรถสีขาว กระจังหน้าทรง V-Motion ที่โฉบเฉี่ยว บวกกับไฟ Daylight ทรงบูมเมอแรง ไฟท้าย LED ทรงสวยกำลังดี และสัญลักษณ์ Zero Emission บ่งบอกว่า รถคันนี้ไม่ปล่อยไอเสียสู่ท้องถนน หรือก่อให้เกิดมลภาวะอย่างแน่นอน คนที่เดินถนนสบายใจได้เลย เพียงแต่เวลาขับไปเบาๆ ระวังคนเดินถนนหน่อยละกัน เพราะเขาไม่ได้ยินเสียงรถคุณที่เคลื่อนที่ไปอย่างเงียบเชียบแน่นอน อย่าไปเหยียบตาปลาใครเข้าล่ะ!
      จุดสุดท้ายมุ่งหน้าสู่ Fortune Town ก่อนจะเข้าเส้นชัย อยู่ดีๆ ฝนก็เทลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว ถนนเริ่มมีน้ำเจิ่งนองขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้เรากังวล เพราะทาง Nissan ให้ข้อมูลมาว่า รถ Nissan Leaf ผ่านการทดสอบแล้ว ว่าสามารถลุยน้ำท่วมขังได้อย่างสบายใจ เผลอๆ ลุยได้มากกว่ารถยนต์ปกติเสียอีก ฝ่าการจราจรที่ปกติก็หนักอยู่แล้วบวกกับความวิปโยคจากฝนตกเข้าไปอีก มาถึงดาดฟ้าของ Fortune Town จนได้ ก็พบเจ้าหน้าที่ของ Nissan ยืนรออยู่แล้ว อย่างที่บอกว่า ด่านนี้มีการให้ทดสอบประสิทธิภาพของ e Pedal กันอีกรอบ โดยให้เราตั้งลำให้ตรงจุดที่มาร์คไว้ แล้วขับไปข้างหน้าด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในโหมด e Pedal แล้วถอนคันเร่งให้รถเบรกไปหยุดอยู่ที่ไม่เกินจุดที่กำหนดไว้ ก็จะได้คะแนนพิเศษเพิ่มเติม ซึ่งเราก็สามารถผ่านด่านนี้ไปได้ไม่ยาก เพราะพอจะจับจังหวะกันได้แล้ว ได้คะแนนพิเศษกันไปแบบสบายๆ จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับสู่สถานที่จัดงานเพื่อรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน เป็นอันเสร็จสิ้นการทดสอบ เรามาถึงกันเวลาประมาณ 1 ทุ่ม ผมเหลือบไปดูหน้าจอแสดงผล สถานะแบตเตอรี่คงเหลือ แจ้งว่า เราสามารถขับต่อได้อีกประมาณ 97 กิโลเมตร ระยะทางที่วิ่งมาทั้งหมดประมาณ 157.8 กิโลเมตร ถือว่าใกล้เคียงสเปกที่ระบุไว้ คือ 311 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 100%/ครั้ง เพราะในสถานการณ์จริงตอนทดสอบเราไม่ได้ใช้ความเร็วสม่ำเสมอ มีจังหวะเร่งทำความเร็วบ้าง เปิดแอร์ขณะวิ่งทดสอบตลอด เพิ่งมาวิ่งแบบเซฟแบตกันตอนเข้าตัวเมืองนี่เอง ถ้าใช้งานกันแบบ Eco จริงๆ ผมว่าวิ่งให้ได้ 300 กิโลเมตร ไม่น่ายากจนเกินไปนักสำหรับคนที่ไม่ใช่ตีนผีเท้าขวาหนักๆ...

       ทั้งนี้ ลูกค้าผู้เป็นเจ้าของ นิสสัน ลีฟ ใหม่มั่นใจได้ว่า จะได้รับการประกันคุณภาพรถยนต์เป็นเวลา 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร พร้อมการรับประกันระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และรับประกันการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่เป็นเวลา 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร ส่วนจุดบริการชาร์จไฟก็มีมากถึง 244 จุด และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในอนาคตอันใกล้นี้...

AFTER DRIVE  SUTTHIPOL NINCHAEM

      โดยสรุป การทดสอบในวันนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่า อนาคตแห่งการขับขี่ยุคใหม่ ได้เข้ามาใกล้แค่เอื้อมแล้ว มุมมองที่มีต่อรถยนต์ไฟฟ้าได้เปลี่ยนไป อคติที่มีในใจเริ่มหดหาย ทั้งเรื่องความแรง ความอึดของแบตเตอรี่การชาร์จไฟ ไม่มีอะไรให้สงสัย เหลือแต่กำแพงราคา 1.99 ล้าน ที่ผู้บริโภคชาวไทย (และคนบ้าไอที+รถอย่างผม) ต้องฟันฝ่าไปให้ได้ ค่าตัวที่สูง แลกกับการไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง อะไหล่สิ้นเปลืองก็ไม่ต้องจ่าย ปั๊มน้ำมัน...ก็คงได้แต่แวะไปเข้าห้องน้ำทำธุระแค่นั้นมั้ง ขับไปหัวจ่ายจะโดนเขาไล่ตะเพิดเอา ก็เรามันรถไฟฟ้า 100% นี่นา...