ลองขับ All new Mazda3 ปรับลุค แต่ยังขับได้สนุกและคมกริบ!!

  • September 25, 2019

   โดยส่วนตัวสำหรับผม Mazda3 จัดเป็นรถที่มีความชัดเจนในคาแร็คเตอร์ความเป็นตัวของตัวเอง ชัดเจนในเรื่องของความสปอร์ตตั้งแต่ในรุ่นเจเนอเรชั่นแรก และถือเป็นหนึ่งในโมเดลที่มาสด้าภาคภูมิใจในยอดขายและการทำตลาด และเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญของมาสด้า ประเทศไทย ในการสร้างความแข็งแรงของแบรนด์มาสด้าตลอดระยะเวลากว่า 1 ทศวรรษ

 

      ถ้าจะย้อนมองความสำเร็จที่ผ่านมาตั้งแต่ Mazda3 รุ่นแรกเริ่มทำตลาดประเทศไทยในปี พ.ศ. 2547 ได้สร้างปรากฏการณ์ต่างๆ ไว้มากมายต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไทย ทั้งในเรื่องยอดขายรุ่นเจเนอเรชั่นแรก ก่อนส่งไม้ต่อให้รุ่นที่ 2 ในปี พ.ศ. 2554 เปิดตัวด้วยเครื่องยนต์ขนาด 2,000 CC ที่ทางมาสด้ากล้าฉีกกฎการตลาดในขณะนั้นที่ลูกค้ากลุ่มใหญ่ชื่นชอบเครื่อง 1.6 – 1.8 แต่มาสด้าสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกค้า จนสร้างยอดขายได้ถึง 15,000 คัน ในเวลาเพียง 3 ปี

      ในเรื่องของเทคโนโลยีเครื่องยนต์กับเครื่องยนต์ในแบบ SKYACTIV Technology ใน Mazda3 รุ่นที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2557 ให้เป็นรถยนต์ที่ให้ได้ทั้งความแรงและประหยัดน้ำมัน พร้อมพลิกโฉมการออกแบบ KODO Design ที่เป็นเอกลักษณ์ ด้วยแนวคิดการออกแบบ หรือ จิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหวอันงดงามปรากฏขึ้นครั้งแรกในปี 2010 และถูกเปิดตัวด้วยรูปลักษณ์ผ่านการเปิดตัวรถรุ่น CX-5 และ Mazda6 ในปี 2012 และกลายเป็นแรงผลักดันในการเพิ่มมูลค่าระดับโลกของแบรนด์มาสด้า ที่มีมิติและความซับซ้อนมาสู่ระดับที่สูงขึ้นเมื่อเข้าสู่ขั้นตอนใหม่ เพื่อยกระดับการออกแบบรถยนต์ให้มีความประณีตมากยิ่งขึ้น

 

   

ปรับและเปลี่ยนใหม่ทั้งคัน แต่ยังคงแนวคิด KODO Design ทั้งในแบบตัวถัง Sedan 4 ประตู และ Fastback 5 ประตู

      ส่วนวิวัฒนาการใหม่ของการออกแบบในเจเนอเรชั่นที่ 4 นั้น อยู่ภายใต้การการออกแบบและพัฒนาใหม่ทั้งคันครับ  โดยยึดหลักปรัชญามนุษย์เป็นศูนย์กลาง ภายใต้คอนเซปต์ "Less is More" เน้นความเรียบง่ายแต่งดงามจากภายในสู่ภายนอก โดยนำท่วงท่าการเดินที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์มาเป็นต้นแบบในการพัฒนา เกิดเป็นรถยนต์ที่สามารถควบคุมการขับขี่ได้อย่างแม่นยำและสมดุลในทุกสถานการณ์ พร้อมรูปแบบความสง่างามภายใต้สุนทรียศาสตร์สไตล์ญี่ปุ่น

     จากข้อมูลในการออกแบบทำให้เห็นถึงความตั้งใจของเหล่าวิศวกรมาสด้า กับการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ รวมถึงวิธีการคิดลดข้อด้อยของรถยนต์ และทำให้เกิดความสมบูรณ์แบบขึ้น การออกแบบภายนอกสร้างความโดดเด่นด้วยการดีไซน์ที่ดูสปอร์ตล้ำสมัยตามสไตล์ของมาสด้า สีใหม่ที่ดูน่าสนใจอย่างสีเทานม Polymetal Gray ที่มีเฉพาะตัวถัง Fastback ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ไฟท้ายแบบ LED ปลายท่อโครเมี่ยมคู่แบบสปอร์ต

 

      ไฟหน้า Projector Lens แบบ LED  ยังดูคงเดิมครับ แต่มีความเรียวแคบมากขึ้น มุมมองท้ายรถมีความต่อเนื่องมากขึ้น ด้วยการลดตำแหน่งกรอบป้ายทะเบียนไปไว้ที่กันชน ซึ่งโดยรวมเป็นการถอดดีไซน์จาก Mazda Vision Coupe Concept สำหรับตัวถัง 4 ประตู ซีดาน และตัวถังแฮทช์แบ็ก 5 ประตู ที่ปรับมาจาก Mazda ในเวอร์ชั่น Kai Concept ด้วยแนวคิดการออกแบบ KODO Design ที่มาใช้ผสานกับ “การเคลื่อนไหวด้วยเส้นสายเส้นเดียว” เพื่อให้เกิดความเรียบง่ายที่สุดในองค์ประกอบโดยรวม ทิศทางของแสงและเงาสะท้อนให้เห็นการเคลื่อนไหว และสะท้อนไปบนตัวรถทำให้เกิดการแสดงออกที่มีนัยสำคัญ และน่าทึ่งเกินกว่าการออกแบบในรุ่นก่อนหน้า

 

     ทางทีมผู้ออกแบบตั้งใจที่จะออกแบบภายนอกทั้งแฮทช์แบ็ก โดยในรุ่นซีดานยังคงสไตล์การออกแบบดั้งเดิม แต่เติมความโฉบเฉี่ยวและหรูหรา แต่รูปทรงดูเรียบง่ายให้แสงที่สวยงาม มีชีวิตชีวา การเคลื่อนในแนวเดียวมีชีวิตชีวาผ่านการสะท้อน ที่สง่างาม โดยมีฝากระโปรงหน้า บริเวณห้องโดยสารและกระโปรงท้ายเป็นองค์ประกอบสามอย่างที่ชัดเจน ผสานแนวคิดการออกแบบใหม่ที่เน้นความโฉบเฉี่ยวและหรูหราสง่างาม ดูไหลลื่นจากด้านหน้าไปด้านหลังด้วย “การเคลื่อนไหวด้วยเส้นสายเส้นเดียว” ตัวถังนั้นมีสัดส่วนแบบ 3 กล่องที่ดูคลาสสิกและทรงพลัง สวยงาม แลดูสะอาดสะอ้านและทันสมัย แสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่ เรียบหรู มีความประณีต ผลที่ได้คือตัวถังทั้งสองประเภทที่มีบุคลิกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

      ส่วนโฉมแฮชท์แบ็กเน้นแตกต่างสิ้นเชิงแนวคิดการออกแบบรถแฮทช์แบ็กหนักแน่นและเร้าใจ มุ่งเน้นไปที่การสร้างรถที่ดูแข็งแกร่ง มุมมองด้านข้างของตัวรถใช้การสะท้อนแสงและเงาที่สร้างการแสดงออกถึงความมีชีวิตชีวา โดยไม่ต้องใช้แนวเส้นตามลำตัวรถ เสา C ที่ดูทรงพลังช่วยสร้างการออกแบบด้านหลังอันเป็นเอกลักษณ์ของอารมณ์และความรู้สึก ความคมชัด ของเส้นจะหายไปเหมือนเป็นการขัดเกลาพื้นผิวตัวถัง ที่ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวแสดงมิติและแสงเงานุ่มนวลสบายตา สื่อถึงความหรูหราแทนการใช้เส้นคมซับซ้อน มิติตัวถังโดยรวมแม้จะดูไม่แตกต่างจากรุ่นเดิม แต่ทว่าเมื่อดูในรายละเอียดรูปทรงจะเห็นว่าแตกต่างทั้งในส่วนของกระจังหน้า การไม่มีไฟตัดหมอกหรือไฟท้ายที่ดีไซน์ใหม่

      ส่วนโครงสร้างตัวถังภายในก็มีการปรับใหม่ ลดจำนวนรูที่เจาะตัวถังให้น้อยที่สุด ช่วยให้เสียงดังรบกวนเข้ามาได้น้อยลง พร้อมกับเพิ่มจุดลดเสียงสะท้อนของโครงสร้างตัวถังส่วนต่างๆ และเสริมวัสดุดูดซับเสียงและฉนวนที่ตัวถังมากขึ้นครับ ขณะที่ระยะฐานล้อยาวกว่าเดิม 25 มิลลิเมตร ความสูงโดยรวมเตี้ยลงกว่าเดิมราว 20 มิลลิเมตร และความกว้างช่วงล้อกว้างกว่าเดิม หน้า 15 มิลลิเมตร หลัง 20 มิลลิเมตร และใช้แพลทฟอร์มใหม่ เทคโนโลยี SKYACTIV-VEHICLE ARCHITECTURE เพื่อการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบเป็นธรรมชาติ ด้วยโครงสร้างที่แข็งแกร่ง ตำแหน่งเบาะนั่งจุดศูนย์ถ่วงต่ำวางอยู่กลางตัวรถมากที่สุด

 

ห้องโดยสารเรียบหรูขึ้น

      ลองใช้ระบบกุญแจ Smart Keyless Entry เพื่อเปิดดูในเรื่องดีไซน์ห้องโดยสาร All new Mazda 3 2019 เน้นแนวคิด “น้อยแต่มาก” คือเรียบง่ายและคำนึงถึงผู้โดยสาร (รวมถึงผู้ขับขี่) “เป็นจุดศูนย์กลาง” เน้นความเงียบ ในการเดินทางด้วยโครงสร้างตัวถังรถผนังแบบแซนด์วิช 2 ชั้น ซึ่งจะมีฉนวนกันเสียงทำจากไฟเบอร์โดยไม่เพิ่มน้ำหนักให้กับตัวรถ เพื่อลดเสียงรบกวนจากพื้นถนนไปจนถึงแผงบุหลังคาห้องโดยสาร รวมถึงแรงสั่นสะเทือนจากระบบกันสะเทือนก็ถูกตัดทอนจากการออกแบบให้รบกวนผู้โดยสารน้อยที่สุด

 

      สำหรับการออกแบบภายใน ทางมาสด้าตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปครับ การจัดวางอุปกรณ์รอบๆ หันไปทางผู้ขับ สะอาด สบายตา การออกแบบภายในห้องโดยสารคำนึงถึงแนวคิดในการใช้งานที่เป็นมิตรต่อสรีระร่างกายมนุษย์ แผงหน้าปัดเน้นความกว้างด้วยเส้นแนวนอนเล่นระดับ จัดวางค่อนข้างต่ำเพื่อเปิดมุมมองด้านหน้า  การปรับตำแหน่งของอุปกรณ์ต่างๆ ให้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกและง่ายขึ้นกว่าเดิมครับ ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push Start Button ภายในห้องโดยสารโทนสีดำ หัวเกียร์หุ้มด้วยหนัง  มาตรวัดความเร็ว และหน้าจอแสดงข้อมูล MID แบบสี TFT รวมในชุดมาตรวัด 

     ส่วนหน้าจอแสดงก็มีข้อมูลบนกระจกบังลมหน้า Active Driving Head-up Display รวมถึงการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพดีขึ้นชนิดที่จับแล้วรู้สึกได้ทันที เครื่องเสียงย้ายตำแหน่งที่ติดตั้งโดยคำนึงถึงทิศทางของเสียง โดยแบ่งลำโพง 12 ตำแหน่ง จาก BOSE ส่วนในรุ่นมาตรฐานจะเป็นลำโพงฮาโมนิคอคูสติก  8 จุดโดยรวมภายในห้องโดยสารดูดีทั้งทางสายตาและรู้สึกดีเมื่อได้สัมผัส เมื่อเปรียบเทียบกับมาสด้ารุ่นก่อน

 

ขุมพลัง SKYACTIV-G บล็อกเดิม แต่เพิ่มเติมปรับจูนใหม่หลายจุด

     ก่อนหน้านี้ไม่นานเคยมีโอกาสลองขับ New Mazda3 ในงานที่มีชื่อว่าMazda Thailand Sneak Preview...ที่ทางทีมงานมาสด้าเลือกใช้สนามทดสอบและศูนย์วิจัยของยางรถยนต์โยโกฮามา ที่จังหวัดระยอง แม้สำหรับขุมพลังเวอร์ชั่นไทย ที่เป็นเครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G พัฒนาใหม่ขนาด 2.0 ลิตร รหัส PE 165 ให้กำลังแรงม้าสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และให้แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที รองรับพลังงานทางเลือก E85 มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด SKYACTIV-DRIVE ประหยัดน้ำมันสูงสุด 15.9 กิโลเมตร/ลิตร ที่แม้เป็นบล็อกเดียวกับ Mazda3 รุ่นที่แล้ว แต่ทำการปรับจูนใหม่หลายจุด เพื่อสมรรถนะการขับขี่ที่ดีขึ้น ทั้งด้านความแรงและประหยัดน้ำมัน ซึ่งการทดลองขับในครั้งนั้นเหมือนเป็นการทดลองขับแบบอุ่นเครื่องในสนามจำลองรูปแบบต่างๆ เพื่อเปรียบเทียบกับ MAZDA 3 รุ่นเดิม

      ส่วนในเส้นทางการทดสอบในทริปนี้ ในระยะทางกว่า300 กม. วิ่งเป็นวงกลมจากจังหวัดภูเก็ตไปจังหวัดพังงา ที่ส่วนใหญ่เป็นทางคดเคี้ยวและขึ้น-ลงเขา ทั้งด้านอัตราเร่ง การบังคับควบคุมรถ ความนุ่มนวลของช่วงล่าง และการยึดเกาะถนน รวมถึงการเก็บเสียงรบกวนเมื่อขับผ่านสภาพถนนหลากหลายรูปแบบ  แม้ว่าจะใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกัน แต่อารมณ์การเร่งความเร็วดูเหมือน New Mazda3 จะเร่งติดเท้า กระชากความเร็วพุ่งขึ้นได้ดีกว่าพอสมควร เมื่อความเร็วทะลุเกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลองชะลอความเร็วด้วยการเบรกลดความเร็วจนรถหยุดนิ่ง เบรกที่นุ่มหนักแน่นเป็นธรรมชาติมากกว่าพอสมควร

 

ปรับปรุงช่วงล่างด้านหลังใหม่ หันมาใช้ระบบทอร์ชั่นบีม และโดดเด่นด้วย G-Vectoring Plus

      สิ่งที่เห็นได้ชัดว่าดีขึ้นก็คือ เรื่องของระบบกันสะเทือนของ New Mazda3 ที่ทางมาสด้าเลือกปรับมาใช้ระบบกันสะเทือนด้านด้านแบบ MacPherson Struts และด้านหลังพัฒนาขึ้นใหม่เป็นแบบทอร์ชั่นบีม การควบคุมรถผ่านโค้งด้วยความเร็วต่ำ 20 กิโลเมตร/ชั่วโมง การขับขี่แบบสลาลอมความเร็วประมาณ 40-50 กิโลเมตร/ชั่วโมง และการขับขี่ช่วงความเร็วระดับกลาง 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตรงนี้จะเห็นความแตกต่างค่อนข้างชัดเจน ว่า New Mazda3 ให้การบังคับควบคุมรถที่นิ่ง แม่นยำและมีช่วงล่างหนักแน่น มั่นคง ทรงตัวดีขึ้นมากกว่า Mazda3 รุ่นเดิมอย่างชัดเจน

     ความมั่นคงในการทรงตัวได้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่ระบบเบรกพัฒนาให้ตอบสนองทันทีต่อการเหยียบของผู้ขับขี่ ด้วยแรงเบรกที่นุ่มนวล และรักษาระดับความแข็งแรงให้คงที่ นอกจากนี้ ยังรวมถึงการถอนเบรกอย่างราบรื่นเมื่อค่อยๆ ยกเท้าออกจากเบรกสามารถควบคุมรถได้อย่างสมดุล

     ควบคู่กับเทคโนโลยีควบคุม G-Vectoring ที่ถูกพัฒนาสู่ GVC Plus ซึ่งเป็นการใช้เบรกเพื่อเพิ่มการควบคุมการหักเหของตัวรถ เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการควบคุมรถ เมื่อผู้ขับขี่ขับรถออกจากโค้งโดยคืนพวงมาลัยกลับไปที่ตำแหน่งกึ่งกลาง และเพิ่มแรงเบรกเพียงเล็กน้อยไปที่ล้อด้านนอก ทำให้เกิดโมเมนท์ที่มีเสถียรภาพซึ่งจะช่วยให้รถกลับมาวิ่งตรงเหมือนเดิม ที่เป็นเหมือนการปรับปรุงความสามารถของรถ ในการหลบหลีกจากการปะทะแบบฉุกเฉิน และยังให้ความรู้สึกมั่นใจในการควบคุมเมื่อเปลี่ยนเลนบนทางหลวง

     ในเรื่องระบบความปลอดภัยจัดเต็มทั้งคัน  All new Mazda3 ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยี i-Activsense โดยเน้นการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วและพวงมาลัยตามรถคันหน้า ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติที่สามารถตรวจจับรถคันหน้า จักรยาน รวมถึงคนเดินถนน ระบบช่วยหยุดรถเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติที่สามารถตรวจจับวัตถุในวงกว้างและสูงขึ้น ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ Adaptive LED Headlamps รวมทั้งถุงลมนิรภัยรวม 7 ตำแหน่ง รวมไปถึงกระจกมองข้าง ปรับระดับอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง ทั้งหมดเป็นข้อมูลเท่าที่รวบรวมมา สำหรับ All new Mazda3 เจเนอเรชั่นที่ 4 รถยนต์รุ่นเรือธงที่จะเป็นแรงผลักดันสำคัญของมาสด้า ในการก้าวเข้าสู่เป้าหมาย Premium Brand ของค่ายรถยนต์ในเมืองไทย

 

 All New Mazda3 เปิดตัวมาทั้งหมด 3 รุ่น คือ

  • 2.0 C ราคา     969,000 บาท
  • 2.0 S ราคา   1,069,000 บาท
  • 2.0 SP ราคา 1,198,000 บาท
  •  

AFTER DRIVE BY KAN YENSABAI

ดิบน้อยลง..แต่ยังขับได้สนุกและคมกริบ!!

           ชัดเจนครับว่าการออกแบบทั้งภายนอกและภายใน Mazda3 รุ่นใหม่ ในเจเนอเรชั่นที่ 4 รุ่นนี้มีความสด สวย และมีการแก้ไขจุดด้อยต่างๆ รวมถึงการพัฒนารายละเอียดต่างๆ เพิ่มขึ้นจากรุ่นปัจจุบันไปค่อนข้างเยอะทีเดียว

 สำหรับส่วนตัวผมเอง Mazda3 ในรุ่นปัจจุบันอะไรๆ ต่างๆ ของรถก็จัดว่าดีอยู่แล้ว แต่ในรุ่นใหม่นั้นกลับสามารถทำได้ดีขึ้น การออกแบบตามคอนเซปต์มินิมอล น้อยแต่มาก Less is more ดีไซน์ ทั้งภายนอกและภายในให้ความ สด สวย ปรับแก้ไขจุดด้อยต่างๆ รวมถึงการพัฒนารายละเอียดต่างๆ เพิ่มขึ้นจากรุ่นปัจจุบันไปหลายจุด

     ในโหมดการทดลองขับ 3 เรื่องที่ชอบ สมรรถนะการขับขี่ สัมผัสได้จากพวงมาลัย และการทำงานของช่วงล่างเครื่องยนต์165 แรงม้า และเกียร์ออโต้ 6 สปีด ที่แม้จะยังคงเป็น สเปกเครื่องยนต์ตัวเดิมที่ปรับอัปเกรดให้เนียนและดีขึ้น แต่ไม่ต้องกังวลในเรื่องกำลัง อัตราเร่ง ท็อปสปีด วิ่งแตะ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ บอกเลยไม่ธรรมดา...

      สัมผัสได้จากพวงมาลัยแม้จะเซ็ตให้เบามือขึ้นในช่วงออกตัว นัยว่าเพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ อย่างคุณสุภาพสตรี แต่ก็ให้น้ำหนักที่ดีในการควบคุมในย่านความเร็วสูง ส่วนการปรับปรุงช่วงล่างด้านหลังใหม่  หันมาใช้ระบบทอร์ชั่นบีม ทำให้ได้ฟีลการเกาะถนนที่เฟิร์มขึ้น แต่ไม่กระด้าง น้ำหนักเบรกรู้สึกมั่นใจขึ้นกว่าเดิม

     การบังคับควบคุมรถ ความนุ่มนวลของช่วงล่าง และการยึดเกาะถนน รวมถึงการเก็บเสียงรบกวนเมื่อขับผ่านสภาพถนนหลากหลายรูปแบบ ยิ่งเมื่อขับบนเส้นทางแบบเดินทางข้ามจังหวัดจริง บนถนนหลวงยิ่งจับความรู้สึกได้ชัด แถมเรื่องโดนใจเต็มๆ อีกเรื่องคือ คุณภาพของเครื่องเสียงติดรถ คุณภาพเสียงแบบคุณนายละเอียด เสียงดี ยังกะโฮมเธียเตอร์ที่บ้าน

     โดยรวมคาแร็คเตอร์ปรับไปให้สุขุมดีขึ้น ใครที่เคยชื่นชอบหรือเป็นแฟนของ Mazda3 หรือใครที่จดๆ จ้องๆ อยู่ ถ้าได้มาสัมผัสกับ Mazda3 รุ่นใหม่นี้ ก็น่าจะชื่นชอบหรือหลงรักมันมากขึ้นครับ...