All New Chevrolet Captiva อาตี๋อินดี้ คล่องตัวดีในแบบอเนกประสงค์

  • September 27, 2019

        หลังคาพาโนรามิกซันรูฟขนาดใหญ่เกือบเต็มหลังคาในรุ่น Premier ที่เรียกได้ว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มรถกลุ่มเดียวกัน น่าจะเป็นอีกหนึ่งจุดเด่น ที่น่าสนใจ นอกเหนือไปจาก จุดขายคือห้องโดยสารที่มีขนาดใหญ่ แบบ 7 ที่นั่ง เบาะนั่ง 3 แถว ภายในห้องโดยสารของเชฟโรเลต แคปติวา ใหม่มาแนวหลังคาสูงให้ความรู้สึกโปร่ง สบายเปิดรับแสงธรรมชาติจากภายนอกเข้าสู่ภายในห้องโดยสาร เพียงแค่กดสวิตช์ พาโนรามิก ซันรูฟจะเปิดออกครึ่งหนึ่งจากความยาวทั้งหมด 0.82 เมตร ตัวกระจกยังถูกเคลือบ เพื่อป้องกันความร้อนและรังสียูวี มาพร้อมม่านบังแดดอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้ต้องการร่มเงาและความเป็นส่วนตัว

 

      ที่ผ่านมา Chevrolet Captiva  นับเป็นอีกหนึ่งรถรถเอสยูวีที่โดดเด่นในเรื่องของขนาดและการกล้าบุกเบิกทำตลาดด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเป็นรายแรกในเซ็กเมนท์นี้ จนประสบความสำเร็จด้านยอดขายเป็นที่น่าพอใจสำหรับ Chevrolet แต่ด้วยอายุและทิศทางของตลาดที่เปลี่ยนไป ทำให้เชฟโรเลต แคปติวา ที่ทำตลาดมายาวนานตั้งแต่ปี 2007 ประกาศยุติการผลิต Captiva รุ่นแรก ทั่วโลก นอกจากนี้รถยนต์แทบทกรุ่นของ Chevrolet ที่ถูกส่งเข้ามาประกอบขาย ในบ้านเราที่ศูนย์การผลิตในจังหวัดระยอง มักถูกพัฒนาขึ้นจากความร่วมมือของบริษัทอื่นๆ ยกตัวอย่างโมเดลในอดีตอย่าง Chevrolet Zafira ก็ถูกพัฒนาขึ้นจากความร่วมมือของ Opel  ส่วน Chevrolet Aveo  Optra และ SUV รุ่น Captiva คันเดิม ก็เป็นผลงานของ GM Daewoo หรือ GM Korea

 

รูปลักษณ์เปลี่ยนไป เรียบ แต่เฉียบคมอารมณ์คล้าย MPV

      แต่สำหรับ แคปติวา ใหม่ นั้น โดยตัวรถแล้วแท้จริง มิได้มีส่วนใดเกี่ยวเนื่องกับแคปติวาโฉมเดิมแต่อย่างใด เนื่องจากโมเดลนี้เป็นการหยิบยกมาจากต้นแบบ “Baojun 530” และใช้ชื่อ Captiva มาสวมให้กับรถรุ่นนี้แทนก็เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการทำตลาดรถอเนกประสงค์ในประเทศไทยและปรับดีไซน์ใหม่และเปลี่ยนเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดคอมแพ็ค ซึ่งแคปติวา ในโฉมใหม่นี้ ไม่ได้มีฐานผลิตที่ประเทศไทยเหมือนโฉมเดิมครับ แต่ทางเชฟโรเลต จะนำเข้ามาทำตลาดจากอินโดนีเซียภายใต้เงื่อนไขเขตการค้าเสรีอาเซียน ที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ซึ่งรุ่นดังกล่าวนี้ มีฐานผลิตที่โรงงานแห่งใหม่ของ SGMW ในแดนอิเหนา

 

   รูปลักษณ์เปลี่ยนไปไม่เหลือเค้าใน Captiva รุ่นเดิมเพราะตัวรถจะถูกวางตำแหน่งทางการตลาด ให้มีราคาถูกลงกว่าเดิม เส้นสายภายนอกจึงมาในสไตล์เรียบ แต่เฉียบคม กระจังหน้าขนาดใหญ่ ออกแบบขึ้นใหม่ประทับตราโบว์ไทด์อย่างเด่นสง่า ประกบข้างด้วยไฟ DRL ดีไซน์โฉบเฉี่ยวส่องสว่างแบบ LED ส่วนไฟหน้านั้นเป็นแบบโปรเจกเตอร์ LED ติดตั้งที่บริเวณกันชนหน้าด้านล่าง พร้อมไฟตัดหมอกในกรอบตัว C

       ฝากระโปรงถูกออกแบบให้มีความแบนราบ และแต่งเติมเส้นสายให้มีความคมเข้มยิ่งขึ้น ส่วนด้านข้างตัวรถมีเส้นสายในแนวตรงยาวต่อเนื่องจรดด้านหลังรถ กระจกหน้าต่างด้านหลังมาในสไตล์ซ่อนเสาหลัง ไฟท้ายดีไซน์สปอร์ต พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ที่สปอยเลอร์ด้านบนหลังคา ปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยแบบสปอร์ตทูโทนขนาด 17 นิ้ว

 

ห้องโดยสารขนาด 7 ที่นั่ง เบาะนั่ง 3 แถวโดดเด่นด้วยหลังคาพาโนรามิกซันรูฟและหน้าจออินโฟเทนเมนท์

 ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุที่ให้สัมผัสที่นุ่มนวลและดูสบายตา ปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ Push Start จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ดิจิทัลที่ปรับแต่งได้ อ่านได้ง่ายและเห็นชัดเจน เบาะคนขับจะเป็นแบบปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้านท้ายตัด D-Shape พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่นสั่งการระบบเครื่องเสียง และระบบ Cruise Control

 

      อีกหนึ่งจุดน่าสนใจคือที่แผงคอนโซลกลาง จะติดตั้งหน้าจออินโฟเทนเมนท์ระบบสัมผัสขนาด 10.4 นิ้ว ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในแคปติวา ทุกรุ่นโดยหน้าจอระบบสัมผัสที่มีรูปทรงเหมือนแท็บเล็ตนี้ จะแสดงผลจากกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา นำเสนอภาพรอบตัวรถแบบเรียลไทม์รวมทั้งภาพมุมสูง ด้วยการใช้กล้องหลายจุดรอบคันเพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถเข้าจอดได้อย่างปลอดภัยในพื้นที่ลานจอดรถ และตรอกที่คับแคบ เมื่อขับขี่ที่ความเร็วสูงสุด 20 กิโลเมตร/ชั่วโมง

    นอกจากนี้ ยังสามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งวิทยุ การควบคุมระบบปรับอากาศ การปรับแต่งระบบของรถ ระบบตรวจวัดและแจ้งเตือนแรงดันลมยาง และการเชื่อมต่ออุปกรณ์ผ่าน บลูทูธ/USB/AUX ระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร และความบันเทิงเชฟโรเลตลิงค์ (Chevrolet Link) และสามารถแสดงผลจากสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ มีระบบการใช้งานโทรศัพท์แบบแฮนด์ฟรี และทำให้ผู้ขับขี่สามารถพูดคุยโทรศัพท์โดยไม่ต้องละสายตาจากท้องถนน และรองรับแอพพลิเคชั่นต่างๆ

 

เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 เทอร์โบ 143 แรงม้า จับคู่กับเกียร์ CVT 8 สปีด

      ในทริปการทดลองขับบนเส้นทางจากใจกลางกรุงเทพฯย่านพญาไท ฝ่าการจราจรจรบนถนนพระราม2 ต่อเนื่องไปจนถึงถนนเพชรเกษม จนถึงอำเภอหัวหิน ในเรื่องของอัตราเร่งตอบสนอง แม้จะเป็นเครื่องเล็กแบบเบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.5 เทอร์โบ DOHC 16 วาล์ว ให้สมรรถนะสูงสุด 143 แรงม้า ที่ 5,000 รอบ/นาที และมีแรงบิดสูงที่สุดในรถระดับเดียวกันที่ 250 นิวตัน-เมตร ที่ 2,400 รอบ/นาที แต่ก็เรียกใช้งานได้ระดับที่ดีในทุกย่านความเร็ว  ทำงานคู่กับระบบเกียร์แบบอัตโนมัติแบบ CVT พร้อมโหมด Shift Control + – 8 สปีด โดยเครืองยนต์บล็อกนี้ มีการปรับให้รองรับการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเกรด E10 ได้

 

       ส่วนการเซ็ตอัพช่วงล่างใหม่แบบระบบขับเคลื่อนล้อหน้าและ ช่วงล่างหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท และหลังอิสระมัลติลิงค์ ดิสก์เบรก 4 ล้อ ให้มีความนุ่มนวลจากการปรับสภาพหลายรายการให้เหมาะสมกับการเป็นรถที่จะขายในประเทศไทย ให้การขับขี่ที่คล่องตัวในเมืองและนอกเมืองได้อย่างดีนั้น แต่ก็ต้องแลกกับการเข้าโค้ง หรือวิ่งด้วยความเร็วสูงนั้น อาจไม่มั่นใจเท่าที่ควร รวมถึงแรงกระแทกจากการขับที่ผู้โดยสารในรถทุกคนสามารถรับรู้ได้ค่อนข้างชัดเจน ทำให้เมื่อต้องขับผ่านหลุมบ่อ การดูดซับแรงสะเทือนอาจไม่ถึงกับดีนัก

       ปิดท้ายในเรื่องของเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยที่ติดตั้ง มาให้มีทั้งโครงสร้างตัวถังและคานเหล็กนิรภัยกันกระแทกจากด้านข้าง ถุงลมนิรภัย SRS สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า และผู้โดยสารด้านหน้า 4 จุด ระบบตรวจวัดและแจ้งเตือนแรงดันลมยาง (TPMS) และระบบเบรกทั้งป้องกันล้อล็อก กระจายแรงเบรก และเสริมแรงเบรก ระบบป้องกันการลื่นไถลและล้อหมุนฟรี (TCS) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ (ESC) ระบบช่วยการออกตัวขณะรถอยู่บนทางลาดชัน (HSA) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (EPB) และระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ (Auto Vehicle Hold)

      เชฟโรเลต วางตำแหน่งทางการตลาดของ All NEW Captiva ใหม่ ให้อยู่ในกลุ่ม  B-SUV คาบเกี่ยวกับกลุ่มรถCrossover ที่มีคู่แข่งในท้องตลาดหลากหลายแบรนด์ ทั้ง Toyota C-HR, Honda HR-V, Mazda CX-3, Subaru XV คาบเกี่ยวกับกลุ่มรถ C-SUV ซึ่งมีทั้ง Honda CR-V, Mazda CX-5, Nissan X-Trail เพื่อวางตำแหน่งและราคาของรถ ให้อยู่กึ่งกลางของตลาดเพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งก็ต้องติดตามดูกันต่อไปว่าสัดส่วนการขายและการตลาด หลังเริ่มต้นส่งมอบได้ในช่วงเดือนตุลาคม All NEW Captiva คันนี้จะสร้างความมั่นใจและถูกรสนิยมคนไทยได้มากน้อยแค่ไหน

 

AFTER DRIVE BY KAN YENSABAI

     สำหรับแคปติว่าในโมเดลนี้ ถือว่าไม่มีอะไรที่ยึดโยงกับโมเดลเดิม เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่ใหม่หมดจดทั้งคัน ทั้งเครื่อง ช่วงล่าง ระบบขับเคลื่อน รูปลักษณ์ ข้อดีในแง่ของพื้นที่ใช้สอยบรรจุสัมภาระได้มาก ขณะที่ตัวรถไม่กว้างมากนั้น ทำให้รู้สึกมีความเป็นรถแบบ MPV แฝงอยู่ด้วย พูดถึงการออกแบบภายในตัวรถดูหรูร่วมสมัยครับ และใช้วัสดุค่อนข้างดีและมีทีเด็ดที่จอ Monitor สี Touch Screen ที่จัดว่าใหญ่ที่สุดในกลุ่มนี้ เวอร์ชั่นการใช้งานก็ปรับจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยมาให้แล้วและมีมาให้ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น

      โดยรวมจากการขับทดลองเป็นรถ SUV ที่ปรับทอนลงมาดูเหมือน MPV คนเมือง เปลี่ยนภาพลักษณ์จากลูกครึ่งอเมริกัน เกาหลี พลังโสม ในโฉมเดิม ปรับมาเป็น อาตี่แบบหนุ่มจีนเต็มตัว ดูเป็นแคปติวา ในโฉมที่ละลายกลิ่นอายของความแข็งแกร่ง บึกบึน ในสไตล์รูปทรงของเจเนอเรชั่นเดิมลงไป ให้กลายร่างเป็นรถที่เน้นความคล่องตัวในการใช้งานแบบอเนกประสงค์แทน

      ส่วนการทำตลาดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (ใหม่) ปรับดีไซน์ใหม่และเปลี่ยนเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดคอมแพ็คที่คาบเกี่ยวอยู่ทั้งในกลุ่มเซกเมนต์ B+C Segment SUV ก็เป็นเหมือนโจทย์ที่ง่ายแต่ก็ไม่หมูนัก เพราะหากดูราคาค่าตัวตั้งแต่ในรุ่นเริ่มต้นไปเปรียบเทียบกับบรรดาคู่แข่ง ในทั้ง 2 กลุ่มนี้ก็มีดีด้วยกันอยู่หลายรุ่นหลายคัน

       ที่สำคัญแม้ทางทีมเทคนิคฯ จะตอบคอนเฟิร์มว่ารถยนต์รุ่นนี้เป็นรถที่ผ่านการขับทดสอบจากจีนและอินโดนีเซียมาแล้วในเรื่องการยอมรับและการใช้งาน แต่การบ้านใหญ่ของทาง เชฟโรเลต งานนี้คงหนีไม่พ้นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าคนไทยในเรื่องการใช้รถที่มีต้นแบบจากจีน และใช้ฐานการประกอบจากโรงงานในแดนอิเหนาว่าการควบคุมคุณภาพของ รถยนต์อเนกประสงค์รุ่นนี้ ทั้งในเรื่องชิ้นส่วนและการประกอบจะให้ความมั่นใจได้ในมากระดับไหนในเรื่องมาตรฐานครับ

 

ราคา ALL NEW CHEVROLET CAPTIVA 2019 มีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่น

รุ่น LS              ราคา    999,000 บาท (เพิ่ม 30,000 บาท สำหรับรุ่น 7 ที่นั่ง)

รุ่น LT              ราคา 1,099,000 บาท

รุ่น Premier    ราคา 1,199,000 บาท