เที่ยวล่องส่องวิถี(ชีวิต)ไทย-มอญ @ สังขละบุรี ไปกับ New MG5

  • April 11, 2017

CULTURE AND LIVELY เที่ยวล่องส่องวิถี(ชีวิต)ไทย-มอญ 

@ สังขละบุรี ไปกับ New MG5

STORY/PHOTO: ศุภินทรา รุกขสุวรรณ

 

      อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เป็นสถานที่ที่ยังคงกลิ่นอายวัฒนธรรมที่ผสมผสานวัฒนธรรมแบบชาวมอญและไทยรวมไว้ด้วยกัน เฉกเช่นรถยนต์สายพันธุ์ผู้ดีอังกฤษคันนี้ New MG5 ที่การขับขี่และความสะดวกสบายผนวกไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

      ระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปอำเภอสังขละบุรี อาจจะใช้เวลาบ้าง แต่เส้นทางที่มีการปรับปรุงต่อเติมจากแต่ก่อนก็ทำให้การขับขี่ลื่นไหลได้สะดวกมากยิ่งขึ้น บวกกับสมรรถนะและเครื่องยนต์ 1.5 เทอร์โบ ให้กำลัง 129 แรงม้า รองรับน้ำมัน E 85 เรียกกำลังในช่วงเร่งแซงได้อย่างทันใจทำให้ย่นระยะเวลาการเดินทางของเราได้เร็วขึ้น ทั้งภายในยังหรูหราพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้าง แผงคอนโซลดีไซน์สปอร์ตที่มาพร้อมหน้าจอแบบทัชสกรีน 7 นิ้ว มีระบบนำทาง NAVIGATION แสดงภาพจากกล้องมองหลัง และที่สำคัญยังสามารถเชื่อมต่อบลูทูธ เพิ่มความพิเศษทุกการเดินทางเลยค่ะ

เช้ารับลมชมวิวบนสะพานมอญ                                                                              

      ช่วงเช้าที่พระอาทิตย์สาดแสงตกกระทบผิวน้ำ เป็นเวลาที่เหมาะแก่การย่ำเท้าลงสะพานไม้ที่คลาสสิกและยาวที่สุดในประเทศไทย 850 เมตร เราจะพบวิถีชีวิตชาวมอญ มีสาวมอญเดินเทินของบนศีรษะเล็กบ้างใหญ่บ้าง และหนุ่มน้อยสาวน้อยที่เดินเร่บริการปะแป้งทานาคารูปต่างๆ เหล่าของฝากมากมายและของอร่อยที่ขาดไม่ได้ “ขนมถังแตกมอญ” ทั้งแบบกรอบและหนานุ่ม ไส้มะพร้าวโรยงาโรยน้ำตาลหอมหวาน กินตอนร้อนๆ กินไปเดินไปบนสะพานไม้ชมความงดงาม ที่นี่จะมี    การตักบาตรทุกเช้าซึ่งเป็นไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งที่ใครมาต้องไม่พลาดกับกิจกรรมนี้

ไหว้พระขอพร..ชมความงดงามศิลปะมอญ     

      สถานที่ที่จะพาท่านผู้อ่านไปสักการะขอพรก็คือ “วัดวังก์วิเวการาม” ซึ่งเป็นที่เก็บสังขารของเกจิอาจารย์ชื่อดัง “หลวงพ่ออุตตมะ” พระภิกษุที่คนไทยเชื้อสายมอญและชาวพุทธทั่วไปให้ความเคารพเลื่อมใส ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวสังขละบุรี ภายในวัดงดงามไปด้วยพุทธ-ศิลปะแบบมอญอันวิจิตร และรูปหุ่นขี้ผึ้งขนาดเท่าคนจริงของหลวงพ่ออุตตมะให้บรรดาศิษยานุศิษย์ หรือบุคคลภายนอกไว้รําลึกถึงคุณงามความดีของท่านสืบไป 

       ถัดมาที่จะไม่มาชมความงดงามเลยไม่ได้คือ “เจดีย์พุทธคยา” เจดีย์ที่มีความสวยสดงดงามส่องแสงทองเด่นอร่ามเมื่อแสงแดดตกกระทบ ด้านหน้าเจดีย์มีสิงห์แบบมอญ 2 ตัว ยืนเฝ้าบันไดทางขึ้นที่ทอดยาวพาขึ้นสู่ตัวเจดีย์ทรงเหลี่ยมฐานจัตุรัส ความงดงามนี้ที่ห้ามพลาดเลยค่ะ

เดินเพลินๆ เที่ยวถนนคนเดินสังขละฯ                                                                     

      ไฮไลท์ยามค่ำคืนที่บรรดาขาช็อปต้องไม่พลาดก็คือ ถนนคนเดินสังขละฯ ที่จะเปิดเฉพาะวันเสาร์ และปิดช่วงหน้าฝน ที่นี่มีอาหารทั้งแบบไทยและมอญให้เลือกชิมลิ้มรสกันอย่างเพลิดเพลิน หมูจุ่มและเครื่องในเสียบไม้ นั่งทานพร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด หรือจะเป็นไอศกรีมลำไผ่สังขละบุรี ไอศกรีมนมปั่นในกระบอกไม้ไผ่ และของฝากที่สาวน้อยสาวใหญ่ต่างเชื้อเชิญแขกผู้มาเยือนให้ซื้อหอบหิ้วติดไม้ติดมือกันกลับบ้าน ในโซนตรงกลางตลาดที่ว่าการอำเภอจะมีเวทีการแสดงศิลปะวัฒนธรรม มอญ กะเหรี่ยง พม่า ดนตรีเพื่อชีวิต และการแสดงของนักเรียนให้แขกต่างถิ่นได้ชมกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินเลยค่ะ

   แม้การเดินทางในช่วงต้นฝนแบบนี้จะมีอุปสรรคบ้าง แต่ที่นี่ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องห้ามพลาดล่องแม่น้ำสามประสบ ชมเมืองบาดาลที่มีซากวัดโบราณจมอยู่ใต้น้ำ หลังการสร้างเขื่อนเขาแหลม แนะนำให้มาในช่วงหน้าแล้งเพราะน้ำลดจะสามารถขึ้นไปชมตัววัดได้ หรือจะข้ามแดนเที่ยวประเทศเพื่อนที่บ้านด่านเจดีย์สามองค์ ชายแดนไทย-พม่า หลังจากชำระเงินค่ารถและค่าผ่านแดนจะมีไกด์พาทัวร์นั่งรถแดงไปตามจุดต่างๆ ที่ตั้งโปรแกรมไว้ (แต่ขอเตือนนะคะนั่งรถแดงตัวก็แดงด้วย เพราะถนนในบางจุดยังเป็นถนนลูกรัง) ก่อนจบทริปเยือนประเทศเพื่อนบ้านด้วยการพาช็อปปิ้งของฝากจากประเทศพม่ากันที่ตลาดพญาตองซู  

   แม้ว่าพาหนะ 4 ล้อของเราจะเป็นเก๋ง แต่ความจุด้านท้ายก็สามารถเก็บของทั้งกระเป๋าเดินทาง ของฝาก หรือแม้แต่ของชิ้นใหญ่อย่างรถเข็นเด็ก(ของหลานผู้เขียน) ก็ไม่ได้ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวของเราเป็นอุปสรรคเลยค่ะ มีความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับแบบนี้ ทริปต่อไปจะพลาดได้ยังไงละคะ
ให้ชีวิตได้ก้าวไปอีกขั้นลองสัมผัสรถสุดหรูสายพันธุ์อังกฤษ แล้วจะทำให้คุณรู้สึกว่า
ไม่มีที่ไหนที่ไปไม่ถึง...

ABOUT ► เมืองบาดาล         

              “เมืองบาดาล” วัดร้างใต้ทะเลสาบตั้งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า “สามประสบ” ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำ 3 สาย คือ แม่น้ำซองกาเลีย บีคลี่ และรันตี ไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำแควน้อย หลังจากที่มีการสร้างเขื่อนเขาแหลม และเก็บกักน้ำเมื่อปี 2527 น้ำเหนือเขื่อนจึงท่วมสูงขึ้น ทำให้เกิดน้ำท่วมจมทุกอย่างลงใต้น้ำกลายเป็นเมืองบาดาล รวมทั้งวัดวังก์วิเวการาม  แต่หากใครได้มาเยือนในช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค. ก็จะได้ยลโฉมซากวัดวังก์วิเวการามใต้น้ำได้ชัดเจนขึ้น เพราะน้ำจะลดระดับลง และสามารถลงจากเรือไปเดินชมซากโบสถ์ วิหาร ซุ้มประตู และหอระฆังที่ยังหลงเหลืออยู่ได้อย่างใกล้ชิด แต่หากมาในช่วงอื่นก็อาจได้เห็นเพียงยอดของสิ่งก่อสร้างที่ลอยพ้นน้ำขึ้นมาเท่านั้น