10 เหตุผล ที่ทำให้ Mercedes-Benz C 300 e AMG Sport น่าสนใจ ในแบบที่ไม่มีอะไรมากั้น…

  • October 01, 2020

      ตลาดในประเทศไทยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะเน้นบุกเบิกตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าด้วยแบรนด์ EQ ที่นำเสนอผ่านรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (EQ Power) หลากหลายรุ่น ตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้งานที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเก๋ง คูเป้ แม้กระทั่งรถเอสยูวี จนมียอดขายติดอันดับต้นๆในกลุ่มตลาดรถยนต์หรูในเมืองไทย เรียกว่าโมเดลยอดนิยมที่จำหน่ายในเวลานี้ มีขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดให้เลือกสรรแทบทั้งสิ้น รวมถึง Mercedes-Benz C 300 e AMG Sport  รุ่นประกอบในประเทศคันนี้ ส่วน 10 เหตุผล ที่ทำให้ รถยนต์โมเดลนี้น่าสนใจมีอะไรกันบ้าง..มาดูกันครับ

 

1.  คมเข้มขึ้น ในแบบซีดานรักษ์โลกมาดหรู

        ด้วยดีไซน์ในแบบซีดานมาดหรู แต่ด้วยชุดตกแต่งภายนอกแบบ AMG Body Styling พร้อม Night Package สีดำเงา ทั้งในส่วนของกระจกมองหลังด้านข้าง กระจังหน้า กันชนหน้าและกันชนหลัง รับกับกระจังหน้าแบบ Diamond Grille โคมไฟหน้าและโคมไฟท้ายซึ่งส่องสว่างในตอนกลางวัน ไฟ LED ทั้งด้านหน้าและด้านหลังมองเห็นได้ชัดขึ้นจากความสว่างของระบบไฟหน้า LED High Performance อันเป็นเอกลักษณ์แถมยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น จับคู่กับล้อ AMG น้ำหนักเบาขอบ 18 นิ้ว พร้อมยางแบบ Runflat  โดยรวมคมเข้มและสปอร์ตขึ้น แม้จะไม่มีชุดหลังคาพาโนรามิก และไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ติดตั้งมาให้เหมือนในตัวโมเดล C 300 e AMG Dynamic

 

   

2. บรรยากาศภายในห้องโดยสาร หวือหวา สมราคาเบนซ์

       ห้องโดยสารที่ดูทันสมัยและสวยงามเน้นความสปอร์ต มีการตกแต่งห้องโดยสารลายไม้ Open-pore Black Ash Wood Trim เปลี่ยนวัสดุตกแต่งแผงประตูเป็นอลูมิเนียมสีเงิน เบาะนั่งแบบสปอร์ตที่หุ้มด้วยหนัง ARTICO สีดำตัดสลับด้วย DINAMICA Micro-fibre พร้อมเมมโมรี่ที่ทำงานคู่กับตำแหน่งพวงมาลัยและกระจกมองข้าง เสริมด้วยที่รองต้นขาแบบยืดหดได้ด้วยไฟฟ้า, เพดานห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีดำ พวงมาลัยแบบ 3 ก้านท้ายตัด พร้อมปุ่มแบบ Touch Control สำหรับไว้สั่งการระบบ Multimedia ของรถ เลือกปรับโหมดการขับ ปุ่มเปิด/ปิดการทำงานของเซ็นเซอร์จอด ปุ่มการทำงานกล้องและระบบจอดรถอัตโนมัติ และแป้นคันเร่งแบบสปอร์ต

 

       ชุดเครื่องเสียงมีการปรับเปลี่ยนจาก Bur Master มาเป็น MB Audio 20 สามารถใช้งานได้ทั้งบนหน้าจอสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว และบนพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น นอกจากนี้ ฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน พร้อมระบบ Apple CarPlay รวมถึงทุกฟังก์ชั่นบนระบบ Audio 20 GPS ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้มีการรบกวนผู้ขับขี่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ส่วนระบบปรับอากาศของรุ่น AMG Dynamic เป็นแบบอัตโนมัติ THERMOTRONIC 3-ZONE ซึ่งนอกจากจะปรับอุณหภูมิแยกซ้าย-ขวาได้ ยังปรับอุณหภูมิสำหรับห้องโดยสารตอนหลังแยกต่างหากได้ด้วย

 

3. มาตรวัดความเร็วดูสวยล้ำ เพราะเป็นแบบดิจิตอลเต็มรูปแบบ

     มาตรวัดความเร็วดูสวยล้ำด้วยหน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว สามารถปรับการแสดงผลได้ 3 รูปแบบ ถ้าตัวเลขส้ม เข็มแดง จะเป็นธีมหน้าปัดแบบ “Sport” ส่วนอันที่เป็นตัวเลขสีขาว คือแบบ “Classic” และอันล่างสุดคือแบบ “Progressive” ซึ่งจะดูเหมือนแผงหน้าปัดของพวกรถต้นแบบล้ำอนาคต

 

4. แสงในห้องโดยสารสามารถปรับเปลี่ยนได้สูงสุด 64 สี

      อีกหนึ่งไฮไลท์ก็คือ แสงในห้องโดยสารสามารถปรับเปลี่ยนได้สูงสุด 64 สี ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสร้างบรรยากาศของห้องโดยสารที่ชอบและเติมเต็มอารมณ์การขับขี่ที่ต้องการได้ทุกครั้ง สามารถเลือกปรับแยกความสว่างแยกด้านหน้ากับหลังได้ สวยเพิ่มมิติในห้องโดยสารให้ดูดี โดยเฉพาะเวลามองตอนกลางคืน

 

5. สมรรถนะ แรง จัดจ้าน และขับขี่ด้วย E-Mode ได้ไกลกว่าเดิม

      การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมจากเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ Plug-In Hybrid ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ 211 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,200-4,000 รอบ/นาที ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าพัฒนาใหม่เพิ่มพลังถึง 122 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตัน-เมตร เมื่อทำงานร่วมกันจะแรงม้าสูงสุด 320 แรงม้าที่ 4,500-5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงถึง 700 นิวตัน-เมตร จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9 G-Tronic ปล่อยค่า CO2 45 กรัม/กิโลเมตร สมรรถนะโดยรวม รีดกำลังความแรงได้อย่างสะใจใกล้เคียงรถสปอร์ตยุคใหม่เลยทีเดียว

 

        ทั้งการช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ด้วย E-Mode ได้ไกลกว่าเดิมถึง 30% หรือวิ่งในโหมดนี้ได้ไกลสูงสุดถึง 50 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุด 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง และการมอบอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร ที่สามารถทำได้ในเวลาเพียง 5.4 วินาที ควบคู่กับประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นของแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนรุ่นใหม่ที่มีขนาดความจุ 13.5 kWh มากกว่าเดิมถึง 111% เท่ากับว่าถ้าคุณชาร์จไฟเต็มและวิ่งใช้งานละวันไม่เกิน 50 กิโลเมตร รถยนต์คันนี้ก็แทบไม่ต้องเติมน้ำมันเลย

       ส่วนการชาร์จไฟของ C 300 e AMG Dynamic สามารถใช้อแดปเตอร์ติดรถเสียบเข้ากับเต้ารับแบบ 3 รูได้ทันที (ช่องสำหรับเก็บชุดสายชาร์จไฟฟ้าพร้อมฝาปิด ส่วนห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ) เหมาะสำหรับการชาร์จไฟทิ้งไว้แบบทั้งคืน คือ กลับถึงบ้านช่วงหัวค่ำแล้วเสียบชาร์จทิ้งไว้ เช้าวันรุ่งขึ้นค่อยขับไปทำงาน หรือสามารถเลือกติดตั้ง Wallbox ที่ช่วยร่นระยะเวลาชาร์จลงเหลือ 1 ชั่วโมง 50 นาที นับจากปริมาณแบตเตอรี่ 10% จนถึง 100%

 

6. ระบบไฮบริด 4 ทางเลือก

        ระบบไฮบริดของ C 300 e AMG Dynamic มี 4 แบบสามารถเลือกการทำงานได้จากสวิตช์ที่คอนโซลกลาง ประกอบด้วย HYBRID เป็นค่ามาตรฐาน รถจะสลับการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และไฟฟ้าให้เอง, E-MODE ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวในการขับเคลื่อน สามารถทำความเร็วได้ถึง 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง, E-SAVE รถจะพยายามคงระดับไฟในแบตเตอรี่ให้คงที่ เหมาะสำหรับการเตรียมพลังไฟไว้ใช้เมื่อจำเป็น และ CHARGE โหมดนี้เครื่องยนต์จะติดเกือบตลอดเวลาเพื่อชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ ส่วนในการขับขี่หากผู้ขับเลือกโหมด Sport หรือ Sport+ ผู้ขับจะไม่สามารถเลือก E-MODE ได้ เพราะในสองโหมดนี้จะบังคับให้เครื่องติดขึ้น

 

7. รถคันนี้ไม่มียางอะไหล่หรือชุดปะยางติดตั้งมาให้

     เพราะรถรุ่นนี้ใช้ยาง Runflat ส่วนห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ มีลักษณะเป็นขั้นบันไดเพื่อหลบแบตเตอรี่ ทำให้เสียพื้นที่ความจุ จากเดิม 455 ลิตร มาเหลือ 300 ลิตร แต่พนักพิงหลังของเบาะเป็นแบบที่สามารถแยกพับแบบ 1/3 และ 2/3 เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกสัมภาระ

 

8. ติดตั้งฟีเจอร์ของยุคสมัย Mercedes Me Connect

     สามารถเชื่อมต่อระหว่างเจ้าของรถและผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ ซึ่งเทคโนโลยีนี้สามารถเลือกปรับเพิ่มบริการและฟังก์ชั่นต่างๆ ตามต้องการได้ผ่านแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน อาทิVehicle status บอกสถานะความพร้อมของอะไหล่รถยนต์ และคอยประสานงานแจ้งเตือนทั้งทางลูกค้าและโชว์รูม

       Remote Service เชื่อมต่อผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อเปิดเครื่องปรับอากาศทำความเย็นล่วงหน้า หรือการสั่งเปิด หรือล็อกประตูรถจากระยะไกล

       Accident Recovery and break down management ปุ่มรูปโทรศัพท์ เพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ปลายนิ้ว ทั้งในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ เหตุฉุกเฉิน รถเสีย หรือสอบถามข้อมูลทั่วไปผ่านคอลเซ็นเตอร์

 

9. ช่วงล่างแบบอิสระมัลติลิงค์ 4 ล้อ

      ช่วงล่างของ C 300 e ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะเปลี่ยนจากช่วงล่างถุงลม AIRMATIC มาเป็นช่วงล่างแบบอิสระมัลติลิงค์ 4 ล้อ สปริงธรรมดา ซึ่งไม่นุ่มนวลเท่ากับ C 350 e อย่างแน่นอน แต่ก็แลกมาด้วยความสบายใจในระยะยาวที่ไม่ต้องกังวลถึงค่าซ่อมบำรุง และอาจเป็นเหตุผลที่ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ เลือกใช้ล้อขนาด 18 นิ้ว แทนที่ล้อ 19 นิ้วเดิมเพื่อชดเชยความนุ่มนวลที่หายไปนั่นเอง

     ส่วนการขับขี่มีระบบช่วยเบรก Active Brake Assist, ควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ Distance Pilot DISTRONIC, ระบบจำกัดความเร็ว SPEEDTRONIC และระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE System ส่วนระบบความปลอดภัยมาตรฐานติดตั้งมาให้ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้าง, ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมนิรภัยหัวเข่าผู้ขับขี่, ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP, ระบบเบรก ABS, ระบบ ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill-Start Assist

 

10. ราคาค่าตัวน่าสนใจ

     ปิดท้ายที่ Mercedes-Benz C 300e AMG Sport รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดสมรรถนะแรง หนึ่งในรถยนต์กลุ่ม EQ Power เจเนอเรชั่นที่ 3 ที่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด  เปิดตัวล่าสุด หลังจากเปลี่ยนแผนการผลิตจากนำเข้าทั้งคัน (CBU) มาเป็นรุ่นประกอบในประเทศ (CKD)

     ออพชั่นที่ถูกตัดออกไปจากรุ่นนำเข้า C 300e AMG Dynamic ราคา 2,990,000 บาท ทั้ง ไฟหน้า MULTIBEAM LED หลังคากระจก Panoramic Sunroof  ระบบเสียง Burmester ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Distance Pilot DISTRONIC ม่านบังแดดประตูหลัง ซ้าย-ขวาและ ฝาท้าย เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า แต่ก็ยังได้ชุดตกแต่งภายนอก Night Package เปลี่ยนล้อ AMG ขนาด 18 นิ้ว เป็นสีทูโทนมาแทน และวางจำหน่าย Mercedes-Benz C 300 e AMG Sport  คันนี้ ในราคา 2,699,000 บาท

 

AFTER DRIVE BY KAN YENSABAI

      ทางเลือกที่สามารถใช้ได้ทั้งน้ำมันและไฟฟ้าร่วมกันเป็นตัวขับเคลื่อน รวมถึงการสามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าได้แบบรถไฟฟ้า EV ภายใต้แบรนด์ EQ Power เจเนอเรชั่นที่ 3 ทำให้รถคันนี้น่าสนใจ

      แต่สิ่งที่เซอร์ไพรสสำหรับผม ในรถคันนี้ก็คือความเร้าใจของเครื่องยนต์ไฮบริด ที่มี System Output รวม 320 แรงม้า และมีแรงบิดถึง 700 นิวตัน-เมตร ส่งผ่านกำลังจากเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะแบบใหม่ ที่ตัดต่อกำลังในแต่ละเกียร์ที่ราบเรียบนุ่มนวลขับสบาย ส่วนในโหมดจัดหนัก กดคันเร่งจมๆ กำลังความแรงตอบสนองดีมากครับ สมรรถนะยังจัดจ้าน ด้วยแรงบิดของมอเตอร์ไฟฟ้าที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วทันทีที่กดคันเร่งโดยไม่ต้องรอรอบเหมือนกับเครื่องยนต์ปกติ อีกทั้งยังวิ่งด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวที่ความเร็วกว่า 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในระยะทางไกลกว่าทั้งแบบ Hybrid และ EV เพราะมีมอเตอร์และแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่กว่า เรียกว่าทั้งแรงทั้งประหยัดสุดๆ

     ส่วนช่วงล่างให้ความมั่นใจในทุกช่วงความเร็วครับ ออกแนวนุ่มหนึบ ไม่แข็งกระด้าง พร้อมการทรงตัวที่ดีในช่วงความเร็วสูง ตัวรถนิ่งไม่มีอาการโยนตัว หรือยวบยาบ และการเซ็ตพวงมาลัยในการบังคับเลี้ยวทำได้เนียน มีความแม่นยำ ขับขี่ได้อย่างคล่องตัว  สำหรับผู้ที่กำลังมองรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ตราดวงดาวอยู่ Mercedes-Benz C300e AMG Sport ก็น่าจะเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ครับ เพราะมีจุดแข็งนั่นคือราคาที่ถูกลงกว่าตัวนำเข้า 291,000 บาท และออพชั่นไม่หายไปเยอะครับ

 

Specifications

ชื่อรุ่น  Mercedes-Benz C 300 e AMG Sport

ราคา  2,699,000 บาท

ประเภท  ซีดาน 4 ประตู

เครื่องยนต์ 1,991 CC. 320 แรงม้า

รายละเอียดเครื่องยนต์  เบนซิน เทอร์โบ 4 สูบเทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์  ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 122 แรงม้า

ระบบขับเคลื่อน ขับเคลื่อนล้อหลัง

ระบบเกียร์  อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic

เชื้อเพลิงที่ใช้ได้    เบนซิน95 แก๊สโซฮอล์ 95 (E10)