THE NEW PANAMERA 4E-HYBRID SPORT TURISMO ซูเปอร์คาร์ 5 ที่นั่ง หรู แรง และอเนกประสงค์

  • January 29, 2018

       ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จัดงาน “Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo Driving Experience 2018” โดยเชิญสื่อมวลชนร่วมทดสอบสมรรถนะยนตรกรรมซาลูน 4 ประตูรุ่นใหม่ล่าสุด ณ สนามปทุมธานี สปีดเวย์

     มร.ปีเตอร์ โรห์เวอร์ กรรมการผู้จัดการ ปอร์เช่ ประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากเผยโฉมครั้งแรก ณ Thailand International Motor Expo 2017 ที่ผ่านมา Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo Driving Experience 2018 นี้ถือเป็นครั้งแรกที่สื่อมวลชนไทยจะได้ทดลองขับ พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด สปอร์ต ทัวริสโม่ (Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo) เพื่อพิสูจน์สมรรถนะอัดยอดเยี่ยมตลอดจนเทคโนโลยีอันชาญฉลาดภายใต้ซาลูนสุดหรูคันนี้ ผ่านสนามทดสอบสมรรถนะทั้ง 3 สถานี ได้แก่ สถานี Handling การทดสอบบังคับควบคุมรถซึ่งจะทดสอบการทรงตัวและการตอบสนองพวงมาลัยของรถอย่างรวดเร็ว สัมผัสความรู้สึกขณะขับขี่ในการตั้งค่า Porsche Active Suspension Management (PASM) รวมถึงสถานี Braking สร้างความมั่นใจและปลอดภัยได้ทุกสถานการณ์ด้วยระบบเบรกมาตรฐานจากปอร์เช่ และสุดท้ายสถานี Slalom ทดสอบความแม่นยำรวดเร็วของช่วงล่างจากระบบอัจฉริยะของปอร์เช่ อาทิ Porsche Dynamic Chassis Control Sport (PDCC Sport) ระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง Rear Axle Steering หรือระบบควบคุมตัวถัง Porsche 4D Chassis Control เป็นต้น

 

       พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด สปอร์ต ทัวริสโม่ (Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo) ที่สุดแห่งการออกแบบสุดหรูหราและล้ำสมัยด้วยรูปแบบที่นั่ง 4+1 พรั่งพร้อมด้วยความอเนกประสงค์ โดดเด่นด้วยฝากระโปรงท้ายขนาดใหญ่ปริมาตรความจุ 520 ลิตร และพนักพิงหลังบริเวณห้องโดยสารตอนท้าย สามารถพับเก็บและเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้ถึง 1,390 ลิตร พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด สปอร์ต ทัวริสโม่ (Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo) คันนี้ ให้พละกำลังขับเคลื่อนสูงสุดถึง 462 แรงม้า อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 40 กิโลเมตร/ลิตร  (2.5 ลิตร /100 กิโลเมตร) และอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 56 กรัม/กิโลเมตร สนนราคา 9.5 ล้านบาท

 

     ปอร์เช่ พานาเมร่า 4 อี-ไฮบริด สปอร์ต ทัวริสโม่ (Porsche Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo) (462 แรงม้า/ 362 กิโลวัตต์): อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 40 กิโลเมตร/ลิตร (2.5 ลิตร/100 กิโลเมตร); อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 56 กรัม/กิโลเมตร; อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้า 15.9 กิโลวัตต์/ชั่วโมง/100 กิโลเมตร

 

 

AFTER DRIVE BY KAN YENSABAI

 

     ความน่าสนใจของ Panamera 4E-Hybrid Sport Turismo คันนี้ อยู่ที่การเป็นรถที่มีอัตราเร่ง แตะความเร็ว0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่เวลา 5.5 วินาที เป็นรถที่ ณ เวลานี้ทางปอร์เช่แจ้งว่า แรงที่สุดในคลาสเดียวกัน ที่สนามแข่งนูร์เบอร์กริงที่เยอรมนี

      ด้วยชาติกำเนิดของ Super Car สายพันธุ์สปอร์ตแบบตัวถังซาลูนที่ โดดเด่นในเรื่องของความอเนกประสงค์ที่เหนือกว่ารถยนต์ในรูปแบบใกล้เคียงกันกับเนื้อที่ทั้งภายในรถที่กว้างขวาง ตัวรถมีความสูงในระดับต่ำ รวมถึงยังมีที่สำหรับบรรทุกสัมภาระท้ายรถ

      แน่นอนว่าแนวคิดในการออกแบบห้องโดยสารแบบ 4+1 ที่นั่ง หรือออกแบบให้ที่นั่งโดยสารด้านหลังรองรับผู้โดยสารได้ถึง 3 ที่นั่ง และในตำแหน่งผู้โดยสารด้านหลัง ยังแยกแบบอิสระและปรับระดับด้วยไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์พิเศษ ซึ่งจากการทดลองนั่งทั้งในส่วนของตำแหน่ง ผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกตำแหน่งต้องยอมรับว่าเป็นซูเปอร์คาร์ที่นั่งโดยสารได้สบายจริงๆ

      ส่วนถ้าถามถึงพละกำลังรวมของรถยนต์คันนี้ที่อยู่ที่ 462 แรงม้า คงไม่ต้องบอกก็คงจะจินตนาการออกนะครับว่าความแรงและความเร็วมีมากขนาดไหน

      แม้จะเป็นเครื่องยนต์แบบ E Hybrid ลูกผสมที่มีจุดเด่นในเรื่องความประหยัด เพราะสามารถขับเคลื่อนได้ด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวถึง 50 กิโลเมตร แต่ก็ต้องบอกว่า การขับขี่ ความเร็ว ความแรงมิได้ลดน้อยลงไปเลยยังคงความสนุกและให้อรรถรสในการขับได้มากจริงๆ

      ในส่วนของการทดสอบในแล็บที่มีความปลอดภัย อย่างในสนามแข่งที่สนามปทุมธานีสปีดเวย์ ทั้งในส่วนของการทดสอบบังคับควบคุมรถ ในเรื่องของการทรงตัวการตอบสนองของพวงมาลัย การทดลองในเรื่องของการหยุดรถการเบรกก็สร้างความมั่นใจปลอดภัยได้และในส่วนของสถานีทดสอบความแม่นยำของช่วงล่างอย่างสลาลม

      ต้องยอมรับในระบบอัจฉริยะของปอร์เช่ ทั้งในเรื่องของปอร์เช่ Dynamic แชสซีส์คอนโทรลสปอร์ตระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง หรือระบบควบคุมตัวถัง เทคโนโลยีอันชาญฉลาดนี้ก็ช่วยให้รถสามารถสอบผ่านได้อย่างดีทั้ง 3 สถานี

      สิ่งน่าสนใจอีกอย่างคือ เครื่องยนต์เบนซิน V6 Turbo คู่ 462 แรงม้า ที่ทำงานร่วมกับชุดมอเตอร์ไฟฟ้า และระบบเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะคลัตช์คู่ 8 จังหวะ PDK ที่สามารถเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ได้อย่างฉับไวแม่นยำ

       ที่สำคัญ ซุ้มเสียงที่ดังนุ่มทุ้มก็ช่วยสร้างฟีลลิ่งความสนุกให้กับผู้ขับขี่ ส่วนโหมดการขับทั้งสปอร์ต และ Sport Plus ที่จะสามารถลากรอบรถได้สูงมากขึ้นกว่าเดิมจากโหมด Comfort ลากรอบได้เกือบ 7,000-8,000 รอบ ที่ Red Line และจะมีการปรับระดับตัวรถลดต่ำลงและมีการ Set Up ค่าความแข็งของชุดช่วงล่างให้แข็งขึ้นโดยอัตโนมัติก็ช่วยทำให้การยึดเกาะถนนของรถยนต์สปอร์ตซาลูนคันนี้มีมากยิ่งขึ้น

      ทั้งหมดเรียกได้ว่า ทางปอร์เช่ผสมความสปอร์ตร้อนแรงที่ผสานกับความหรูหราได้อย่างลงตัวเป็นรถซูเปอร์คาร์ราคา   9,500,000 บาท ที่คุณสามารถใช้งานได้อย่างไม่เคอะเขิน และใช้ได้ทุกวันในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสมเหมือนตาม คอนเซปต์ที่ทางปอร์เช่วางไว้เป๊ะๆ ครับ