DREAM DESTINATION AUTO JAM CARAVAN 2018 “หนีห่าว” แชงกรี-ล่า ดินแดนมนตราแห่งทิเบต

  • February 22, 2018

       อีกครั้งกับที่สุดของการเดินทางโดยรถยนต์ ที่สุดของชีวิตคุณกับที่สุดบนเส้นทางที่คุณต้องขับรถไปจากเมืองไทยขับรถไปไต่ระดับจับหิมะที่ดินแดนในฝันแชงกรี-ล่า กับคาราวาน Auto Jam Caravan 2018 การเดินทางครั้งที่ 18 ของนักผจญภัย จากกรุงเทพ-เชียงราย-สิบสองปันนา-คุนหมิง-ต้าลี่-ลี่เจียง ย่ำหิมะที่หุบเขามังกรหยก สัมผัสธารน้ำแข็งที่เหม่ยลี่และร่วมลงนามบันทึกการเดินทางในดินแดนมนตราแห่งทิเบตที่แชงกรี-ล่า ที่อำนวยการจัดการเดินทางโดย บริษัท ทาร์เก็ตมีเดียแอนด์เทเลวิชั่น จำกัด

 

DAY คาราวาน START พร้อมเพรียงที่เชียงของ

       รถหมายเลข 01 คาราวานลีดเดอร์ ถึงรถหมายเลข 1 6 คันปิดท้ายขบวน เราทั้งหมดรวมกันกว่า 41 ชีวิต มาพร้อมกันที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เพื่อมาสรุปการเดินทางเบื้องต้น รับสติ๊กเกอร์ทักทายสมาชิกเก่าและสมาชิกใหม่ บอกกฎเกณฑ์ในการเดินทางในรูปแบบของคาราวานรถยนต์

    แน่นอนครับ..ค่ำคืนนี้เรานักผจญภัยต้องนอนให้อิ่ม เตรียมตัวให้พร้อมตลอดคืน เช็กสภาพรถและยางให้พร้อมสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น เตรียมเครื่องมือซ่อมบำรุง อะไหล่จำเป็น ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน เพื่อพร้อมที่จะลุยต่อในวันรุ่งขึ้น

 

DAY 2 ชีวิตสุดฟิน กินข้าว 3 มื้อ 3 ประเทศ

      เช้านี้ที่เชียงของตรวจเช็กสภาพรถ สภาพคนพร้อม รอยล้อของ Auto Jam Caravan 2018 ครั้งที่ 18 ก็เริ่มหมุน… 420 กิโลเมตร จากเชียงของ-หลวงน้ำทา ไปจนถึงเชียงรุ้งสิบสองปันนา คือการเริ่มต้นเดินทางของวันนี้ Auto Jam Caravan 2018 ข้ามสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 4 เพื่อนำรถยนต์ทุกคันในขบวนผ่านพิธีการข้ามแดนที่ด่านเชียงของ เพื่อข้ามสู่ด่านห้วยทราย สปป.ลาว เมื่อผ่านขั้นตอนการตรวจรถของเจ้าหน้าที่ลาวใช้เวลาไม่นานเราก็ออกเดินทางต่อ

       “ระวังรถบรรทุกเล็กขาวสวนขึ้นไป มีจังหวะแซงขึ้นไปได้ครับ” เสียงวิทยุสื่อสารจากรถหมายเลข 01 คาราวานลีดเดอร์คอยบอกเป็นระยะให้รถในขบวนสามารถขับตามได้ แบบเป็นรูปขบวน และช่วยให้ การแซงที่จะต้องแซงซ้าย ในรถพวงมาลัยขวาแบบบ้านเรา สามารถทำได้ง่ายดายยิ่งขึ้น

         ระยะทาง 250 กิโลเมตร บนถนนสายเศรษฐกิจอาเซี่ยน R3a คือถนนสายหลักที่จะนำพาคาราวานของเรา มุ่งหน้าสู่ด่านบ่อเต็นชายแดนลาวจีนซึ่งอยู่บนเขตพื้นที่เมืองหลวงน้ำทา ถนนสายนี้ในเขตประเทศลาว ถือว่าเป็นว่าเป็นส่วนสำคัญ เนื่องจากเป็นการเชื่อมการเดินทางจากไทยสู่จีนและจากจีนสู่ไทย โดยอาศัยประเทศลาวเป็นทางผ่าน

     ด้วยความที่เป็นทางลาดยาง สภาพเส้นทางเป็นทางราบสลับกับขึ้นเขาเป็นบางช่วง ผ่านวิวทิวทัศน์สองข้างทางทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติของป่าลัดเลาะไปตามไหล่เขา และความเป็นอยู่แบบพื้นบ้านของชาวลาวที่ยังคงมีวิถีชีวิตล้อไปกับธรรมชาติ เหมือนย้อนอดีตของเมืองไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน

     หลังอาหารกลางวันที่เป็นอาหารไทยรสจัดจ้านเป็นมื้อส่งท้ายที่หลวงน้ำทา จากบ้านห้วยทราย สปป.ลาว ที่ชายแดนลาว-จีน ชายแดน(ลาว)ที่บ่อเต็น ข้ามชายแดนจีนที่เมืองบ่อหาน ชาวคาราวาน Auto Jam 2018 ก็ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองของทั้ง 2 ประเทศเป็นที่เรียบร้อย แม้ในด่านนี้จะมีขั้นตอนแยกตรวจคนและตรวจรถออกจากกัน ในส่วนของคนก็ยังแยกทั้งผู้ที่เป็นผู้โดยสารและผู้ที่เป็นผู้ขับขี่ ซึ่งจะได้รับใบขับขี่และทะเบียนรถแยกในแต่ละคัน

 

      เมื่อเข้าสู่แผ่นดินจีนคาราวานเราเดินทางบนเส้นทางทางด่วนที่เพิ่งเปิดบริการ วันนี้วิวที่คุ้นตาของเราคือการวิ่งลอดผ่านอุโมงค์มากกว่า 20 อุโมงค์ เพื่อมุ่งหน้าไปให้ทันพลบค่ำที่เมืองเชียงรุ้ง หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่าเมืองสิบสองปันนา ปลายทางที่เราจะไปพักกันในคืนนี้

      สิ่งแรกที่ต้องทำในการที่ขับรถเข้ามาถึงเมืองจีนก็คือการนำรถเข้ามาตรวจสภาพ แม้ในวันแรกนี้เราจะมาถึงเมืองเชียงรุ้งหรือสิบสองปันนาเกือบ 6 โมงเย็นแล้วก็ตาม แต่เราก็ยังต้องนำรถในขบวนทั้งหมด 16 คัน มาเข้าคิวตรวจสภาพที่ขนส่งของเมืองสิบสองปันนา

 

       แต่ปัญหาแรกของทริปก็มาเพิ่มรสชาติสีสันให้ชาวคาราวานดินเนอร์ที่สิบสองปันนาล่าช้า... ก็ใครจะไปคิดล่ะครับว่า การเอารถข้ามไปวิ่งในแผ่นดินจีนครั้งนี้มันจะยากกว่าทุกครั้ง เราต้องเจอด่านตรวจสภาพรถสุดหินกับปัญหาเรื่องมาตรฐาน ทั้งเบรก ไฟหน้ารถสูงเกินไป แม้จะต้องลองเบรกกันไม่รู้กี่รอบก็ไม่ผ่าน

       รถคาราวานลีดเดอร์ หมายเลข 01 บอกว่าทุกวันนี้ การนำรถ จากประเทศอื่นมาวิ่งในอาณาเขตประเทศจีนถือว่าทำได้ยากยิ่งขึ้น เนื่องด้วยกฎเกณฑ์ที่ทางรัฐบาลจีนออกมาใหม่ที่มีการเข้มงวดมากยิ่งขึ้น ทำให้การขับรถมาเที่ยวในเมืองจีน มีกฎระเบียบขั้นตอนมากยิ่งขึ้น โอ้วว…ตรวจกันเหมือนต่อทะเบียนรถเลยอ่ะ..

DAY 3 ชิมหม่าล่า ชมเมืองโบราณเผาอี๊ที่ฉู่สง

       วันใหม่ในแผ่นดินจีนจากสิบสองปันนาผ่าน ซือเหมา คุนหมิง และปลายทางที่ฉู่สง คาราวานเดินทางขับรถไกล ต่ออีก 680 กิโลเมตร แต่เป็นโปรโมชั่นบนเส้นทางด่วนยกระดับอย่างดีสามารถทำเวลาในการเดินทางได้ ก่อนจะได้ซิ่งกันบนทางด่วนจีน ได้มีโอกาสเจอด่านตรวจของทหารที่เข้มงวดที่สิบสองปันนา 

       ท่ามกลางฝนตกพรำๆ การเดินทางในวันนี้ เราอยู่บนถนนลอยฟ้าบนภูเขาที่คดเคี้ยว ชื่อทางด่วน “KUNMING BANGKOK HIGHWAY” ระหว่างทางจะผ่านสะพาน HONGHE สะพานข้ามแม่น้ำที่สูงที่สุดในโลก

     บนถนนที่ตัดผ่านภูเขาผ่านวิวลอดอุโมงค์นับสิบอุโมงค์ ตลอดเส้นทางที่เดินทางถ้ำอุโมงค์สังเกตเห็นความเป็นเมืองที่ผุดเกิดขึ้น หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปเร็วมากครับ โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างเมืองและถนนลอยฟ้าขนาดยักษ์อีกหลายแห่ง คิดแล้วก็น่าแปลกใจผ่านไปเมืองไหนๆ ในจีนก็เห็นแต่โครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่เต็มไปหมด

 

       ก่อนจะรับประทานอาหารกลางวันเราผ่านเมืองผูเอ๋อ เมืองแห่งชา ผ่านเมืองคุนหมิง เมืองหลวงและเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนาน ที่เต็มไปด้วยหมอกควันอุตสาหกรรมเต็มท้องฟ้า ต่างจากฉายาที่ว่า “นครแห่งฤดูใบไม้ผลิ” เรามาถึงเมืองฉู่สง ที่มีชื่อเสียงในการผลิตผ้าไหมและบุหรี่ จอดรถเรียบร้อยมีโอกาสได้เดินสำรวจตลาดใหม่ของเมืองฉู่สง ที่มีชื่อว่า “เมืองโบราณชาวหยี” สถานที่ท่องเที่ยวที่จำหน่ายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว เป็นโครงการที่สร้างขึ้นมาเพื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวของมณฑลยูนนาน ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลจีนกับภาคเอกชน สร้างบนฐานวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ของชนชาติหยีที่มีชื่อเสียงมากในยุคมองโกล

 

       เพื่อเดินชื่นชมร้านขายอาหารปิ้งย่างหม่าล่า และร้านขายสินค้าที่ระลึกที่มีรูปแบบเฉพาะของตนเองไม่เหมือนใครของชุมชนเมืองโบราณเผาอี๊ ก่อนจะแยกย้ายพักผ่อนกันที่เมืองฉู่สงกันในค่ำคืนนี้

 

Day 4 โลกหมุนช้าที่ต้าลี่

       เช้านี้ที่เมืองฉู่สงต้องบอกว่าอากาศหนาวเย็นยะเยือกแตะระดับที่ 2 องศาฯ บวกกับลมที่พัดแผ่วๆ ความหนาวยิ่งเพิ่มทวีคูณ ไม่ไกลจากฉู่สงไปต้าลี่วันนี้คาราวานจะได้มีโอกาส ไหว้พระ 2 เจดีย์

         ที่แรกอยู่ที่เจดีย์โบราณคู่บ้านคู่เมืองของฉู่สง เจดีย์นี้มีความสูง 9 ชั้น แต่ละชั้นจะมีองค์พระสังกัจจายน์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งแต่ละองค์จะมีความหมายแตกต่างกันไป ขึ้นมายืนบนเจดีย์เพียงแค่ชั้น 3 ก็ สามารถมองเห็นวิวของเมืองฉู่สงได้รอบทิศทาง

      วันนี้ขับรถไม่เยอะ ใช้ทางด่วนบนเส้นทางแบบไฮเวย์จากเมืองฉู่สงไปสู่เมืองต้าลี่ประมาณ 1 80 กิโลเมตร ท่ามกลางบรรยากาศหนาวๆ ผ่านเมืองโบราณแห่งวัฒนธรรม ศูนย์กลางวัฒนธรรมของชนชาวไป๋ของมณฑลยูนนาน ระหว่างทางได้สัมผัสกับธรรมชาติและวิถีชีวิตของชาวจีนชนบทในมณฑลยูนนานตลอด 2 ข้างทาง

     หลังอาหารมื้อกลางวันแบบยูนนานที่ตาลี่ คาราวานเรานมัสการเจดีย์สามองค์ ที่ตั้งอยู่ในวัดฉงเซิ่ง บริเวณทางเหนือของเมืองต้าลี่เก่าห่างออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร ถ่ายภาพในจุดที่เห็นเจดีย์ทั้ง 3 องค์ และเดินเที่ยวชมบรรยากาศตามอัธยาศัย บริเวณโดยรอบของเจดีย์ทั้งสามองค์ดูสะอาดร่มรื่น มีสวนและมีต้นไม้น้ำตกตกแต่งอยู่เป็นระยะๆ ช่วยเพิ่มบรรยากาศความสดชื่นและผ่อนคลาย

     ต้าลี่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมที่สุดแห่งหนึ่งของมณฑลยูนนาน ถัดจากเจดีย์สามองค์และโรงแรมที่พักของเราไม่ไกลนักก็จะเป็นตลาดเมืองโบราณตาลี่ ที่เป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และถนนนานาชาติ ซึ่งมีทั้งสินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า ขนม อาหารปิ้งย่าง อาหารแบบตะวันตก ดนตรีสากล ยิ่งมาช่วงเวลาที่จะมีงานใหญ่ประจำปีคือวันตรุษจีน ก็จะมีนักท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษทำให้ตลาดดูคึกคักไปด้วยผู้คนจริงๆ ครับ

 

Day 5  “หนีห่าว” แชงกรี-ล่า ดินแดนมนตราแห่งทิเบต

          380 กิโลเมตร จากต้าลี่กับบรรยากาศสดชื่นตอนเช้า ขบวนคาราวานทยอยออกจากเมือง วันนี้เรายังใช้เส้นทางทางด่วนเป็นหลัก ปลายทางของเราวันนี้อยู่ที่เมืองแชงกรี-ล่า หรือ เมืองจงเตี้ยน

       คาราวานลีดเดอร์แจ้งมาว่า เมืองคุนหมิงที่เราเพิ่งผ่านมาเจอพายุหนาวถล่มเมืองเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปีอากาศติดลบถึง 17 องศา ส่วนที่แชงกรี-ล่า ข่าวแจ้งว่าอุณหภูมิที่ต้าลี่อยู่ที่ 2 องศา ก็ยังไม่ถือว่าโหดมาก เสื้อกันหนาว 3 ชั้น คงยังพอทนหนาวไหว

      กลิ่นหอมของชาทิเบตที่มีกลิ่นและรสชาติเหมือนชาข้าวบ้านเรา ช่วยขับความหนาวออกจากร่างกาย เป็นเครื่องดื่มประเดิมบนดินแดนแชงกรี-ล่า อาหารแบบยูนนานยังคงมาเป็นอาหารกลางวันให้เรารับประทานเคล้าวิวเขามังกรหยกที่เป็นฉากหลัง

       เมื่อเข้าสู่แม่น้ำแยงซี หมายความว่าเราได้เข้าสู่ดินแดนของแชงกรี-ล่าแล้ว มาถึงที่แชงกรี-ล่า กลับไม่หนาวอย่างที่คิดไว้ และด้วยแสงแดดที่ร้อนแรงจนทำให้พวกเราต้องถอดเสื้อกันหนาวที่เตรียมไว้ออก

     “อย่าลืมทาครีมกันแดด..ระวังแดดแรงนะคะ” แม้จะไม้ร้อน เพราะเราใกล้พระอาทิตย์  ระวังโรคแพ้ความสูงด้วยค่ะ” ไกด์ท้องถิ่นจีนคอยเตือนลูกทัวร์ผ่านวิทยุสื่อสารเมื่อเราถึงแชงกรี-ล่า

       ที่แชงกรี-ล่านั้น หรือเมืองจงเตี้ยนนิยมใช้สีสันฉูดฉาด ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน หรือการแต่งกาย เป็นดินแดนแห่งสวรรค์ที่ถูกกล่าวถึงโดย James Hilton ในนวนิยายอมตะเรื่อง The Lost Horizon ที่ได้บรรยายไว้ว่าเป็นดินแดนที่ประดุจสวรรค์บนดิน ภายหลังได้มีการพยายามสืบเสาะค้นหาว่าอยู่ตรงจุดใดของที่ราบสูงทิเบตอันกว้างใหญ่

       ทางการจีนได้ประกาศให้เขตการปกครองตนเองตีฉิง ซึ่งประกอบไปด้วย 3 เมืองคือ จงเตี้ยน เต๋อชิงและเว้ย เป็นดินแดนที่เรียกว่าแชงกรี-ล่า และให้คำนิยามของแชงกรี-ล่าว่า Sun and Moon in Heart หรือสุริยันจันทราในดวงใจคือ เป็นดินแดนที่สงบสุขและสวยงามประดุจสวรรค์บนดิน

 

        เย็นย่ำของวันนี้ แวะเที่ยวชมเมืองเก่าแชงกรี-ล่า อยู่ตอนใต้สุดของตัวเมืองรายล้อมไปด้วยร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านของที่ระลึกและเกสต์เฮาส์ ถนนดินกลายเป็นถนนปูด้วยหินกรวด และมีการแสดงพื้นบ้านของชาวทิเบตที่จัตุรัสใหญ่ ด้านหลังเมืองเก่าจะมองเห็นกงล้อมนต์สีทองสูง 23 เมตร ที่ว่ากันว่า เมื่อมีโอกาสมานมัสการต้องไม่พลาดขึ้นไปหมุนวนเพื่อให้บทสวดนั้นกังวานไปถึงสรวงสวรรค์

 

Day 6  ย่ำดินแดนที่ราบสูงทิเบต จงเตี้ยน-เต๋อชิง-ธารน้ำแข็งเหม่ยลี่

        “อ่อนแอก็แพ้ไป” ไม่อยากจะพูดคำนี้ แต่บอกได้เลยครับ ถ้าคุณผู้อ่านเตรียมตัวมาไม่ดีพอ แม้เมืองแชงกรี-ล่า  หรือ จงเตี้ยน ถูกเปรียบเป็นสวรรค์บนดินแห่งนี้ แต่อย่าลืมว่าความสูงจากระดับน้ำทะเล 3,350 เมตร เพราะเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่ราบสูงทิเบต ก็ทำให้คนที่อาศัยอยู่บนพื้นราบปกติอย่างคนไทยเรานี้ต้องผจญกับโรคที่ไม่ค่อยคุ้นหู นั่นก็คือ โรคแพ้ความสูง

       ตอนที่ไกด์ท้องถิ่นบรรยายอาการของโรคแพ้ความสูงให้ฟังก่อนที่เราจะเดินทางมาถึงเมืองแชงกรี-ล่า ผมเองยอมรับว่าฟังแบบหูทวนลม เพราะคิดในใจว่าตัวเองเจ๋ง ยังไงก็ผ่านไปได้เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ แต่อาการแพ้ความสูงที่จะปวดและเวียนหัวแบบบอกไม่ถูก แก๊สและลมในท้องก็จะเยอะ ท้องไส้ปั่นป่วน อาหารก็กินแทบไม่ลง ก็เล่นงานผมอย่างหนักหน่วง โอ้วว..มันเกิดอะไรขึ้นกับเรากันเนี่ย!!??

 

        210 กิโลเมตร จากแชงกรี-ล่า-เต๋อฉิง-ธารน้ำแข็งเหม่ยลี่เพื่อไปสัมผัสหิมะ คาราวานออกเดินทางจากแชงกรี-ลา ไปสู่เมืองเต๋อชิง วันนี้ไฮไลท์ของการเดินทางอยู่ที่จุดสูงสุดบนเส้นทางที่ 4,400 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลและภูเขาหิมะที่เป็นเทือกเขาที่กั้นพรมแดนระหว่างยูนนานกับทิเบต

       ความน่าตื่นตาตื่นใจของหุบเขาเหม่ยลี่ คือการที่มียอดสูง 13 ยอด เรียกว่ายอดเขาโอรสสวรรค์ ยอดเขาสูงที่สุดอยู่ที่ 6,000 เมตร ชื่อ “คาวากาโป” ซึ่งนับเป็นหนึ่งใน 8 ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ของชาวทิเบตที่ปรารถนาจะมาแสวงบุญอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิต

       ว่ากันว่าหากนับทิเบตเป็นหลังคาโลกเทือกเขาเหม่ยลี่ก็นับเป็นชายคาเพราะเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยฝั่งจีน เมืองเต๋อชิง สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 3,400 เมตร และมีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่คาราวานไต่ระดับจับหิมะได้เดินทางมาสัมผัสจับหิมะจริงๆ จังๆ สมดังรอคอย

 

Day 7  วัดกุ้ยหัว โปตาลาน้อยแห่งยูนาน

      อาการแพ้ความสูงยังคงเล่นงานผมหนัก กินข้าวไม่ลงทั้งวัน โชคดียังได้มื้อเช้าเป็นข้าวต้ม+ไก่หย็อง และออกซิเจนอัดกระป๋องไว้ช่วยชีวิต

       อากาศติดลบ 1 องศา ทำให้มีเกล็ดหิมะติดกระจกหน้ารถ วันนี้คาราวานมุ่งหน้าย้อนกลับทางเดิมและได้มีโอกาส ผจญภัยจากเต๋อฉิง-แชงกรี-ล่า ระยะทาง 190 กิโลเมตร มีบางช่วงที่ต้องประคองรถในขบวนคาราวานให้ผ่านพายุหิมะที่ถาโถมเข้ามาอย่างหนักหน่วง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์เดินทางด้วยรถยนต์ที่น่าประทับใจและตื่นเต้น ก่อนแวะพักเบรกชมโค้งแม่น้ำแยงซีเกียง 300 องศา

       เมื่อขบวนคาราวานย้อนกลับถึงเมืองแชงกรี-ล่า ก็ได้เข้านมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นวัดทิเบตชื่อ “ซงจ้านหลินซื่อ” หรือ “วัดกุ้ยหัว” วัดลามะที่มีอายุเก่าแก่กว่า 300 ปี มีพระลามะจำพรรษาอยู่มากกว่า 700 รูป สร้างขึ้นโดยทะไลลามะองค์ที่ 5 ในปี พ.ศ. 2222 ใช้เวลาก่อสร้าง 18 ปี จึงแล้วเสร็จโดยจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชิง

        ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมคล้ายพระราชวังโปตาลาในเมืองหลวงลาซาของทิเบต แต่ย่อส่วนขนาดให้เล็กลงมาจึงได้ชื่อว่าเป็นโปตาลาน้อยแห่งยูนาน และนับเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนของที่ราบสูงแห่งนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวทิเบตได้กราบไหว้เป็นที่พึ่งทางใจ นับเป็นสิ่งปลูกสร้างและสถาปัตยกรรมที่น่าหลงใหลในสไตล์แบบทิเบต

      เย็นย่ำนี้ที่แชงกรี-ล่า ชาวคาราวานแวะเดินเที่ยวเมืองเก่าโบราณจงเตี้ยน ที่อยู่ในเมืองแชงกรี-ล่า บ้านเรือนส่วนใหญ่จะเป็นบ้านไม้ในสไตล์ทิเบตที่สร้างขึ้นมาเพื่อต้องการสื่อให้นักท่องเที่ยวได้ช้อปปิ้ง มีร้านกาแฟเล็กๆ น่ารักๆ ให้ผู้ที่มาเยือนได้เข้าใจถึงความเป็นมาและย้อนเวลาไปสู่อดีตของแชงกรี-ล่า เมืองเก่าจงเตี้ยนตั้งอยู่ติดกับยอดเขาเล็กๆ ซึ่งบนยอดเขานั้นมีกงล้อมนต์ยักษ์สูงกว่า 3 ชั้น ชาวทิเบตและนักท่องเที่ยวนิยมไปหมุนกงล้อนี้เพื่อความเป็นสิริมงคล

 

Day 8 หลงเสน่ห์ลี่เจียง เสียงเพรียกแห่งยูนนาน

       วันนี้เป็นอีกวันที่คาราวานเริ่มหมุนร้อยล้อย้อนกลับสู่เส้นทางเดิมจากเมืองแชงกรี-ล่า ไปยังปลายทางที่เมืองลี่เจียง  200 กิโลเมตร ของเราวิ่งบนถนน Local แบบ 2 เลนสวนในเมืองที่รถค่อนข้างเยอะจนถึงเมืองลี่เจียง ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาที่มีทัศนียภาพอันงดงาม และยอดเขาสูงที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนในฤดูหนาว เรามาถึงเมืองลี่เจียงในช่วงบ่าย

      หลังจากเข้าแวะพักที่โรงแรมให้หายเหนื่อย คาราวานก็เริ่มออกชมเมืองลี่เจียง เดินเลาะเลียบมาตามทางเดินอันร่มรื่นที่มีลำธารเล็กๆ ไหลเอื่อยๆ มาตลอดทาง เพียงไม่นานเราก็พาตัวเองเข้ามาสู่เขต “เมืองเก่าลี่เจียง” หรือ “เมืองโบราณต้าเอี้ยนเจิ้น” กันแล้ว ซึ่งด้านหน้าจะมีกังหันวิดน้ำขนาดใหญ่ตั้งโดดเด่นเป็นสง่า เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองเก่าลี่เจียง

       บรรยากาศภายในเมืองโบราณลี่เจียงคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวครับ ภายในเมืองเก่าลี่เจียงงดงามไปด้วยสถาปัตยกรรมบ้านเรือนสไตล์จีนเก่าแก่ที่หาชมได้ยาก และได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี บางหลังเหมือนโรงเตี๊ยมโบราณที่เราเห็นกันตามหนังจีนย้อนยุคบ้านเรือนส่วนใหญ่ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายมาเป็นร้านค้าขายของ มีสินค้าพื้นเมืองสารพัด ไม่ว่าจะเป็นผ้าทอสวยๆ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องเงิน ของฝากของที่ระลึกต่างๆ มากมาย รวมถึงยังมีบ้านเก่าที่ถูกดัดแปลงตกแต่งให้เป็นเกสต์เฮาส์

       ตามทางเดินที่ปูด้วยหินอัดแน่นและเดินไต่ระดับขึ้นเขาไปเรื่อยๆ เดินชมอาคารไม้แบบจีนโบราณเก๋ๆ ที่ดูเก่าแก่และมีมนต์ขลัง ตามตรอกเล็กๆ เป็นที่ตั้งของบ้านเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมลำธารสายเล็กๆ ที่มีสายน้ำใสสะอาดไหลผ่านบ้านเรือนอยู่โดยรอบ มีสะพานหินพาดผ่าน ซึ่งสายน้ำจากลำธารนี้เป็นเหมือนสิ่งหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชาวเมืองลี่เจียงมาแต่ครั้งโบราณ

          โดยเฉพาะยามค่ำคืนของเมืองเก่าลี่เจียง ที่แสนจะคึกคักไปด้วยร้านอาหารที่ชวนนั่งดื่มกิน ที่สำคัญมื้อเย็นวันนี้เรายังรับประทานอาหารกันแบบฟรีสไตล์ ใครอยากจะรับประทานแบบไหนก็เลือกได้ตามใจชอบ สำหรับคนที่เบื่ออาหารจีนที่เราทานกันมาหลายมื้อหลายวัน แน่นอนว่า Highlight คงจะอยู่ที่ร้าน Fast Food ยอดฮิตอย่าง KFC, McDonald’s และ Pizza Hut ซึ่งเหล่าสมาชิกก็แยกย้ายไปสรรหามารับประทานกันอิ่มหนำสำราญตามอัธยาศัย ก่อนแยกกันไปพักผ่อนที่โรงแรม เพราะพรุ่งนี้เรามีภารกิจไปพิชิตความหนาวที่ภูเขาหิมะมังกรหยกกันครับ

 

Day 9  “ภูเขาหิมะมังกรหยก” ตำนานขุนเขา แห่งลี่เจียง

        เช้าวันใหม่เราตื่นมาด้วยความสดชื่นเพราะที่นี่อากาศดีมาก หลังจากเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดีกับเสื้อผ้ากันหนาวที่สวมใส่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเต็มที่ เพราะเราจะเดินทางไปสัมผัสหิมะที่ “ภูเขาหิมะมังกรหยก” หรือ “อวี้หลงเซี่ยซาน” ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเก่าลี่เจียงกัน

      “ภูเขาหิมะมังกรหยก” เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองลี่เจียงครับ ที่ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็จะสามารถมองเห็น ที่ประกอบไปด้วยยอดเขา 13 ยอด ตั้งตระหง่านสูงเด่นเห็นได้แต่ไกล ทอดตัวยาวคล้ายมังกรกำลังเลื้อย และบนยอดเขาจะมีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี สีขาวของหิมะที่ปกคลุมอยู่นั้นดูราวกับหยกขาวตัดกับสีน้ำเงินของท้องฟ้าอันสดใส ทำให้ดูเหมือนกับมังกรขาวบนฟากฟ้า ตัวภูเขานั้นตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเก่าลี่เจียง มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล โดยเฉลี่ย 4,000 เมตร เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของเมืองลี่เจียง

        การขึ้นสู่ยอดเขานั้นเราต้องนั่งกระเช้าใหญ่ขึ้นไป กระเช้าค่อยๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ฝ่าลมหนาวขึ้นไปแบบช้าๆ ตลอดเส้นทางที่กระเช้าขึ้นไปก็จะได้เห็นทัศนียภาพมุมสูงอันงดงาม ได้เห็นหิมะและธารน้ำแข็งบนเทือกเขาสวยงามมากๆ

       จุดชมวิวบนยอดเขาที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 4,506 เมตร เมื่อออกจากกระเช้าความหนาวก็มาปะทะร่างกายทันทีครับ ด้านบนยอดเขานี้มีอากาศที่หนาวเย็นมาก มีอุณหภูมิต่ำเลขตัวเดียวที่ติดลบ 7 องศาฯ และมีภาวะอากาศและออกซิเจนเบาบางกว่าปกติ

         เมื่ออยู่บนเขาหิมะแห่งนี้เราต้องเคลื่อนไหวตัวช้าๆ ไม่วิ่ง เพราะว่าออกซิเจนเบาบางมากอาจทำให้รู้สึกมึนหัว ปวดหัว หายใจติดขัดได้ ซึ่งเป็นอาการที่อาจเกิดได้กับทุกคนเมื่อต้องขึ้นมาอยู่บนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลมากๆ ส่วนการเดินเที่ยวภูเขาหิมะนี้จะมีเส้นทางเดินทำเป็นสะพานไม้ๆ เลาะเลียบขึ้นไปบนภูเขาให้เราค่อยๆ เดินไต่ระดับท้าความหนาว ได้ขึ้นมาชมความยิ่งใหญ่ของภูเขาหิมะมังกรหยกที่ตั้งตระหง่านสูงใหญ่อยู่เบื้องหน้า ภาพหิมะสีขาวที่ปกคลุมไปทั่วทั้งขุนเขา แหม..มันช่างคุ้มค่าที่ทนหนาวทนรอคิวครึ่งค่อนวันเพื่อขึ้นมาชมจริงๆ ครับ

 

IMPRESSION LIJAING  โชว์ดีที่ห้ามพลาด

     หากคุณอยากรู้ถึงชีวิตและจิตวิญญาณของคนลี่เจียงผ่านเวลา 1 ชั่วโมง 45 นาที การแสดงโชว์ที่มีชื่อว่า “IMPRESSION LIJAING” ซึ่งได้จางอวี้โหมว ผู้กำกับฝีมือเยี่ยมมีชื่อเสียงก้องโลกเป็นผู้กำกับการแสดง..นี่คือคำตอบครับ

       เพราะความยิ่งใหญ่อลังการของโชว์นี้ก็คือ การเนรมิตเวทีการแสดงกลางแจ้งขึ้นมา โดยมีภูเขาหิมะมังกรหยกอันยิ่งใหญ่ที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปีเป็นฉากหลัง การแสดงนี้ใช้นักแสดงซึ่งเป็นชาวบ้านกว่า 600 ชีวิต มาโชว์ร้อง เต้น เล่น พร้อมแสง สี เสียง และการแต่งกายแบบสวยงาม เนื้อหาของการแสดงเป็นการเล่าให้ได้รับรู้ถึงเรื่องราวชีวิต ความเป็นอยู่ของชนเผ่าต่างๆ ในเมืองลี่เจียง ให้ผู้ชมได้เห็นถึงความสวยงามของชีวิต ธรรมชาติอันบริสุทธิ์และงดงาม ไว้เป็นภาพความทรงจำ ถือว่าเป็นโชว์ที่ขลังและมีพลังเหลือเกิน

 

DAY 10  ลี่เจียง-โมเจี่ยง

      คาราวานเดินทางย้อนกลับเส้นทางเดิม แต่เปลี่ยนแผนการเดินทางจากลี่เจียงไปเมืองหลินชาง มาเป็นจากลี่เจียง-โมเจี่ยง เพราะจะทำให้การเดินทางสะดวกกว่าและทำเวลาได้ดีกว่าด้วยทางด่วน

        ที่เมืองโม่เจียงนี้แวะกินข้าวตอนขาไปเป็นมื้อกลางวัน และกลับมานอนอีกครั้งในวันก่อนจะเดินทางเข้าสิบสองปันนา ไกด์นำทัวร์บอกว่า เมืองนี้เป็นแค่อำเภออำเภอหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ดูใหญ่โตและมีลักษณะหลายอย่างคล้ายเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน หรือความเป็นอยู่ เมืองก็ดูไม่ต่างจากเมืองอื่นๆ ในจีนที่เราเดินทางผ่านมา อาจเพราะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองใหม่ที่กำลังทำให้ดูพัฒนามากยิ่งขึ้น เมื่อคืนลองสำรวจตลาดใกล้ๆ โรงแรมที่พัก บรรยากาศช่วงหัวค่ำค่อนข้างคึกคักเพราะใกล้เทศกาลตรุษจีนจึงมีการลดแลกแจกแถมของและสินค้ากันอย่างมากมาย

 

Day 11 หลงรักเธอ “แม่สาวตัวดี” ที่สิบสองปันนา

คำว่า “ตัวดี” นั้นภาษาไทลื้อเรียกกันอย่างยกย่องชมเชยว่า “รูปสวย หรือ รูปหล่อ” คำทักทายว่า “สาวตัวดี หรือ บ่าวตัวดี” จึงเป็นคำที่สุภาพ หมายถึงสาวคนสวย หรือ หนุ่มรูปหล่อ

       จากโม่เจียงเมื่อเดินทางมาถึงเมืองสิบสองปันนา หลายคนที่ยังไม่เคยได้มาอาจแปลกใจว่าผู้คนที่สิบสองปันนาหน้าตาคล้ายคนไทยมาก การแต่งกาย ภาษาพูด อาหารการกิน แม้กระทั่งวัดวาอาราม รวมทั้งบ้านเรือนของชาวไทลื้อก็ไม่ต่างกับคนภาคเหนือบ้านเรา คำตอบก็คือเป็นคนชาติพันธุ์เดียวกัน ดังนั้น หากต้องการเห็นภาพล้านนาหรือเมืองเชียงใหม่ในอดีต ก็ต้องมาเที่ยวสิบสองปันนา เมืองที่ยังรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมได้อย่างเหนียวแน่น

        วัดไทยที่เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาในเมืองเชียงรุ่งก็คือ วัดป่าเจ (วัดป่าเชต์มหาราชฐาน) เพราะเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุด เป็นเหมือนวิทยาลัยสงฆ์ในเมืองเชียงรุ่ง ด้วยในอดีตนั้นชาวเชียงรุ่งนิยมส่งลูกชายเข้ามาบวชเรียนตั้งแต่เล็กๆ โดยบวชเณรเรียกว่า บวชลูกแก้ว ภายในวัดมีเจดีย์ขาวองค์จำลองและเจดีย์แปดเหลี่ยม เป็นที่เคารพสักการะของชาวไทลื้ออย่างมาก นอกจากนั้น อุโบสถของวัดป่าเจศิลปะแบบไทลื้อก็ยังสวยงามมากอีกด้วย

หลังมื้อเย็นวันนี้เรามีพิธีมอบใบประกาศความเป็นนักเดินทางให้กับสมาชิกคาราวานทั้ง 16 คัน หลังจากเสร็จพิธีการ ก็มีเวลาให้เหล่าสมาชิกเดินชมวิถีชีวิตและเลือกซื้อของที่ระลึกที่ถนนคนเดินสิบสองปันนา

 

Day 12  สิบสองปันนา-หลวงน้ำทา-ห้วยทราย-เชียงของ

     ชีวิตนักเดินทางหลังพวงมาลัยมักถูกมองว่าเป็นเรื่องที่น่าอิจฉา ที่จะได้เสพความสุขกับการขับรถข้ามประเทศ หลายคนคงไม่รู้ว่านอกจากความสนุกตื่นเต้นแล้ว การเตรียมตัวให้พร้อมก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเบื้องหลังคือการตื่นเช้า นอนดึก ทำระยะทางในแต่ละวันให้ได้ตามที่กำหนด งานนี้ไม่มีคำว่าเร็วไปกว่ากำหนด มีแต่ไปให้เร็วอีกเดี๋ยวไม่ทันเพราะการเดินทางโดยใช้รถทำให้เราเห็นสภาพภูมิประเทศของสถานที่นั้น ผ่านการมองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยความงามของธรรมชาติเป็นอีกหนึ่งสีสันของการเดินทาง

      งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา การเดินทางของเราก็เช่นกัน เมื่อคาราวานเราออกเดินทางย้อนกลับบนเส้นทางเดิมสู่ชายแดนจีน-ลาว แวะรับประทานอาหารที่ร้านเดิมตอนขามาที่หลวงน้ำทาอีกครั้ง ก่อนจะถึงชายแดนที่ห้วยทรายลาวกับไทย พร้อมผ่านการข้ามแดนของทั้ง 2 ประเทศ และเดินทางกลับเข้าสู่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย

       สำหรับสุดยอดการเดินทาง ขับรถไต่ระดับจับหิมะ ในครั้งนี้ขอขอบคุณผู้ร่วมสนับสนุนการเดินทาง ทั้งรถยนต์ ISUZU รถยนต์ TOYOTA นิตยสาร C max Car www.autojamthailand.com รายการ 1 ล้านไมล์ ไปกับจิรายุ รายการ Auto jam Holiday ที่ร่วมมอบประสบการณ์ใหม่ในการเดินทาง

      ขอบคุณศรัทธา ความรักและมิตรภาพในทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ทั้งดีและไม่ดีปะปนกันเป็นรสชาตินักเดินทางในแชงกรี-ล่า ดินแดนมนตราแห่งทิเบตกับ “Auto Jam Caravan 2018 ขับรถไต่ระดับจับหิมะ” ในครั้งนี้